TKP HEADLINE

Showing posts with label (5)ภาคใต้. Show all posts
Showing posts with label (5)ภาคใต้. Show all posts

ข้าวหลามนางเกรียง



ข้าวหลามเป็นอาหารหรือจะเรียกว่าเป็นขนมหวานอีกอย่างก็น่าจะได้ เพราะมีรสหวานจากน้ำกะทิ และน้ำตาลที่ผสมลงไปให้กลมกล่อม

กลุ่มข้าวหลามนางเกรียงพัฒนา
เลขที่ 10 หมู่ที่ 2 บ้านนางเกรียง ตำบลปรางหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง

ที่ทำการกลุ่มได้เลือกบ้านสมาชิกเป็นที่ทำการ ด้วยเหตุที่สภาพหมู่บ้าน มีถนนลาดยางเส้นทางไป อบต.ชัยบุรี และไปหมู่บ้านหัตถกรรมกะลามะพร้าว เป็นทางผ่าน สมาชิกกลุ่มจึงนำผลผลิตข้าวหลามมาวางขายอยู่ริมถนน เช่น ที่สะพานไทร

การจัดการ
เนื่องจากราษฎรหมู่ที่ 2 บ้านนางเกรียง ประกอบอาชีพทำนา รายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ จึงประกอบอาชีพเสริม ทำข้าวหลามสืบทอดกันมา ต่อมาสำนักงานพัฒนาชุมชนได้เข้าไปจัดรวมกลุ่ม และให้ดำเนินการเป็นระบบ มีระเบียบ พัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ ขั้นตอนการผลิตที่สะอาดถูกหลักโภชนาการ จัดให้มีการประกวดในงานเทศกาลต่าง ๆ เพื่อพัฒนารสชาติให้ได้มาตรฐาน

ติดต่อ : นางสุรีย์ จันทร์คำ


 

ขนมทองม้วน


ขนมทองม้วน
อีกหนึ่งขนมไทยโบราณที่ใครหลาย ๆ คน ต้องเคยลิ้มลองรสชาติกันมาบ้างแล้ว รสชาติหวาน มัน กรอบ สมัยนี้หารับประทานได้ไม่ยาก มีขายตามร้านค้า ตามท้องตลาดมากมาย ยิ่งถ้าหากทำทานเองที่บ้าน ทำเพื่อใช้ในงามงคลต่าง ๆ วัตถุดิบก็หาได้ไม่ยาก หรือจะทำขายเพื่อเป็นอาชีพเสริมก็ได้ เพราะวันนี้มีสูตรและวิธีการทำขนมทองม้วน มาฝากผู้ที่สนใจทุกท่าน ไม่แน่หากได้เห็นขั้นตอนการทำแล้ว อาจบอกว่าไม่ยากเลยก็ได้

ส่วนผสม
-แป้งมัน 130 กรัม
-แป้งข้าวเจ้า 10 กรัม
-แป้งท้าวยายม่อม 20 กรัม
-เกลือ 1/4 ช้อยชา
-กะทิ 1 ขวด
-ไข่ไก่ 1 ฟอง
-เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย
-งาดำคั่ว ตามชอบ
-งาขาวคั่ว ตามชอบ
-น้ำตาลมะพร้าว 1/2 ถ้วย
-น้ำดอกอัญชัน 2 ช้อนโต๊ะ
-น้ำใบเตย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
-ผสมแป้งมันกับแป้งข้าวเจ้าและแป้งท้าวยายม่อม ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย
-เทกะทิลงไปทีละครึ่งขวด แล้วนวดแป้งให้เข้ากันจนกว่ากะทิจะหมดขวด
-ใส่ไข่ไก่ เนื้อมะพร้าว แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็ใส่งาดำและงาขาวลงไป
-แบ่งแป้งเป็น 3 ถ้วยเท่าๆ กัน ใส่สีที่ต้องการลงไป แล้วคนให้เข้ากัน
-ตั้งกระทะเปิดไฟอ่อนถึงปานกลาง หยอดแป้งลง เมื่อแป้งเริ่มสุกก็พลิกกลับอีกด้านแล้วรอให้สุกทั้งสองด้าน
-จากนั้นก็ม้วนขนมแล้วตักขึ้นมาเรียงใส่จานไว้พร้อมเสิร์ฟ

ติดต่อสอบถามได้ที่ นางภัทรา  ปูขาว
ที่ตั้ง 50 หมู่ที่ 3 ตำบลทุ่งคาโงก อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา 82000


 

ทุเรียนกวนโต๊ะเด็ง




นายสุทิน บุตตะจีน ชาวตำบลโต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ยึดอาชีพทำทุเรียนกวน หรือภาษายาวี เรียกว่า “ลือโปะ” ต่อจากพ่อแม่มานานกว่า 30 ปี เพราะที่บ้านปลูกทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองเป็นจำนวนมาก อีกทั้งแก้ปัญหาทุเรียนล้นตลาดและราคาตก โดยหาวิธีผลิตให้รวดเร็วขึ้นด้วยการสั่งทำกระทะทองเหลืองเส้นผ่านศูนย์กลาง 62 นิ้ว ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากวนทุเรียนแทนแรงงานคน และใช้แก๊สหุ้งต้ม ทำให้ผลิตได้ถึงวันละ 100 กิโลกรัม ใช้เฉพาะทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองหรือทุเรียนบ้านที่ปลูกในสวนหรือรับซื้อจากชาวบ้าน เพราะมีรสชาติหวานมันกว่าทุเรียนพันธุ์ เมื่อกวนได้ที่จะจับเป็นก้อนแข็งโดยไม่ต้องผสมแป้ง ใช้น้ำตาลทรายขาวน้อยกว่าและไม่ติดมือ เมื่อรับประทานจะรู้สึกว่าเป็นเนื้อทุเรียนล้วน หอมหวานมันลงตัว  

 

แกงไตปลาแห้งฉวีวรรณ




ไปเมืองตรังแวะซื้อ “แกงไตปลาแห้งฉวีวรรณ” รับรองไม่ผิดหวัง

ที่อยู่ 251/1 ถ.ท่ากลาง ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง จ.ตรัง โทร. 08 1396 4998 

กลุ่มสตรีชุมชนท่าจีน เมืองตรัง แปรรูปแกงไตปลา คิดค้นสูตรแกงไตปลาแห้งจนได้ขึ้นทะเบียนเป็น OTOP บรรจุกล่องพลาสติกพกติดตัวได้สะดวก รับประทานง่ายเพียงแค่เปิดฝานำไตปลาแห้งคลุกกับข้าวสวยร้อน ๆ มีจำหน่ายทั้งไตปลาน้ำ ไตปลาแห้ง และไตปลาเจ ส่งออกขายต่างประเทศเดือนละ 1,500 ขวด

แกงพุงปลา” หรือ แกงไตปลาแห้งเมืองตรัง ถือเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ในรูปแบบของภูมิปัญญาท้องถิ่น โดย “ชุมชนท่าจีน” เทศบาลนครตรัง ซึ่งดั้งเดิมจะผลิตกันในลักษณะของแกงไตปลาน้ำ เพื่อใช้รับประทานร่วมกับอาหารประจำวัน หรือ รับประทานกับขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ เพื่อเสริมรสชาติให้เกิดความอร่อยยิ่งขึ้น เนื่องจากลักษณะของแกงไตปลากระดี่ หรือที่ภาษาท้องถิ่น เรียกว่า แกงไตปลาขี้เด หรือขี้ดี จะมีกลิ่นหอมพิเศษเฉพาะตัว และมีรสชาติกลมกล่อมเป็นอย่างมาก

ประวัติความเป็นมา
สืบเนื่องจากชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำตรัง อันเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผู้คนทั่วทั้งจังหวัดมายาวนานแล้ว ทำให้มีแหล่งปลาน้ำจืด อย่างปลากระดี่ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว ชาว “ชุมชนท่าจีน” จึงได้คิดค้นสูตรแกงไตปลาแห้งขึ้น เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจน จวบจนกระทั่งเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 “กลุ่มสตรีชุมชนท่าจีน” จึงได้รวมตัวกันขึ้น ในนามกลุ่มส่งเสริมการมีรายได้ ก่อนที่จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ในปีเดียวกันนี่เอง

ทั้งนี้ ทางกลุ่มได้เริ่มจากการประยุกต์จากแกงไตปลาน้ำแบบตั้งเดิม มาดัดแปลง และปรับปรุงสภาพให้เป็นแกงไตปลาแบบแห้ง เพื่อนำไปบรรจุกล่องพลาสติก ให้สามารถพกพาติดตัวได้ง่าย ต่อมาจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้สามารถยืดระยะเวลาในการเก็บรักษาได้นานขึ้น โดยเปลี่ยนแปลงมาบรรจุผลิตภัณฑ์ในขวดแก้ว และใช้ความร้อน 121 องศาเซลเซียส โดยกระบวนการสเตอริไรซ์ จนได้รับเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) เลขที่ 323/2547 จากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2549

สำหรับแกงไตปลาแบบแห้งนี้ นับเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เนื่องจากปราศจากสารกันบูด รวมทั้งอุดมไปด้วยโปรตีนจากปลา และสมุนไพร เช่น กระเทียม ขมิ้น ตะไคร้ ข่า พริกขี้หนู พริกไทย มะกรูด โดยเริ่มจากการต้มไตปลานานประมาณ 30 นาที เพื่อกรองเอาน้ำใส แล้วนำมาผสมเข้ากับเนื้อปลากระดี่ สมุนไพร กะปิ และน้ำตาลทราย ก่อนบรรจุใส่ขวดแก้ว เพื่อนำไปอบด้วยความร้อนสูง ซึ่งจะช่วยให้สามารถเก็บผลิตภัณฑ์ได้ยาวนานถึง 1 ปี แล้วนำไปปิดฝา โดยผนึกด้วยซีลอย่างดี และติดฉลากก่อนบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งไปวางขาย

“นางฉวีวรรณ ช่วยแจ้ง” ประธานกลุ่มสตรีชุมชนท่าจีน กล่าวว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ก็คือ เป็นแห่งเดียวของประเทศไทยที่สามารถนำปลาน้ำจืดมาผลิตเป็นไตปลาแห้งได้สำเร็จ ขณะที่อื่น ๆ จะเป็นแค่ปลาน้ำเค็ม ซึ่งรองรับผู้บริโภคได้เพียงแค่กลุ่มเดียว ส่วนเนื้อปลา ก็จะใช้การนึ่งแทนการย่าง ทำให้มีรสชาติดีกว่า และยังไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ขณะเดียวกัน น้ำที่ได้จากการนึ่งยังสามารถนำไปใช้รดต้นไม้ได้ด้วย จนส่งผลให้ทางกลุ่มได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์สินค้าระดับ 5 ดาว ภายใต้ทะเบียนการค้า “ฉวีวรรณ” ในปี 2556

ทั้งนี้ ล่าสุดได้มีการผลิตแกงไตปลาช่อน มาเพิ่มอีก 1 ชนิด รวมทั้งแกงไตปลาเจ สำหรับผู้ที่เคร่งครัดในการปฏิบัติตนตามศีล 5 เนื่องจากวัตถุดิบที่นำมาใช้ทุกอย่างจะไม่มีเนื้อสัตว์ 100%  เพื่อให้ครอบคลุมตลาดมากยิ่งขึ้น ทางกลุ่มจึงได้ผลิตแกงไตปลาทู เสริมเข้าไปด้วย ขณะที่วิธีรับประทานก็ทำได้ง่ายมาก แค่เปิดขวดแล้วตักมาคลุกกับข้าวร้อน ๆ ก็สัมผัสความอร่อยได้ทันที หรือนำแกงไตปลา 1 ขวด ไปเติมน้ำ 1-2 ถ้วยตวง แล้วตั้งไฟให้เดือด ก่อนที่จะเติมปลาหรือผักเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ

ปัจจุบัน แกงไตปลาแห้งเมืองตรัง มีจำหน่ายใน 3 รูปแบบ คือ ไตปลาแห้ง ราคาขวดละ 75 บาท หรือเป็นขนาดชุดละ 2 ขวด ราคา 130 บาท และขนาดชุดละ 3 ขวด ราคา 190 บาท ส่วนไตปลาน้ำ มีราคาขวดละ 90 บาท และไตปลาเจ  มีราคาขวดละ 75 บาท สำหรับตลาดที่วางขาย นอกจากจะเป็นในจังหวัด และต่างจังหวัดแล้ว ยังมีการส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีคนไทยไปอาศัยอยู่กันเป็นจำนวนมาก โดยมียอดขายเดือนละ 1,500 ขวด หรือปีละ 5 แสนบาท

ผู้จัดทำ นางสาวสุภาภรณ์  ทองรอด  ครู กศน.ตำบลทับเที่ยง
กศน.อำเภอเมืองตรัง  สนง.กศน.จังหวัดตรัง


 

ล่องแก่งชมดาว



ล่องแก่งชมดาว @ พัทลุง ที่เดียวครบ ทั้งน้ำตก ที่พัก ร้านอาหาร

ขอเอาใจคนชอบเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์ พาไปฟอกปอดพร้อมเปิดประสบการณ์ในการล่องแก่งในเขตอำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง กับการล่องแก่งท่ามกลางคลองธรรมชาติ น้ำตก และป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ จนกลายเป็นไฮไลท์การล่องแก่งของภาคใต้ที่เที่ยวได้ทั้งปี

ล่องแก่งชมดาว อยู่ในเขตตำบลลานข่อย อำเภอป่าละอู จ.พัทลุง ทางรีสอร์ทจะเตรียมเรือคายัค เสื้อชูชีพและหมวกกันน็อคไว้ให้ แล้วพาเราขึ้นรถกระบะไปยังจุดสตาร์ท บริเวณ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส จากนั้นค่อย ๆ ปล่อยตัว ล่องไปตามคลองห้วยน้ำใส ระยะทางประมาณ 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เรือคายัคนั่งได้ 2 คน แม้นักท่องเที่ยวจะต้องพายเอง แต่ก็ไม่ต้องกังวลเพราะแต่ละจุดมีสตาฟคอยดูแลอย่างใกล้ชิด 

จุดเด่นของการล่องแก่งในเขตอำเภอป่าพะยอมแห่งนี้ คือ น้ำใสสะอาด ล่องแก่งไปตามคลองธรรมชาติ ป่าไม้ยังคงอุดมสมบูรณ์ น้ำไม่แรง ไม่อันตราย เด็ก 7 ขวบขึ้นไปเล่นได้สบาย ๆ

ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการล่องแก่งคือ ช่วงเช้า เริ่มตั้งแต่ 08.30 น. ไปจนถึงตอนเย็นประมาณ 16.00 น. ถ้าจะให้ดีควรล่องช่วงเช้าหรือไม่ก็ตอนเย็น เพราะตอนกลางวันแดดค่อนข้างแรง

นอกจากจะได้สนุกสนานกับการล่องแก่งแล้ว ที่นี่ยังมีห้องพักทั้งหลังเล็กหลังใหญ่ พักได้ 2-3 คน ไปจนถึงห้องใหญ่พักได้ 12 คน และยังมีห้องประชุมสัมมนา รองรับกรุ๊ปทัวร์ได้มากกว่า 120 คน

บ้านพักระเบียงคู่ สำหรับ 3 ท่าน ระเบียงเชื่อมกันเหมาะกับการมาเป็นแก๊ง 6 คน ราคาหลังละ 2,500 บาท บ้านพักครอบครัว สำหรับ 4-6 ท่าน ราคา 5,000 บาท

บ้านพักรวม สำหรับ 12 ท่าน ราคา 6,500 บาท

และยังมี ราคาแพ็คเกจ สำหรับการมาเที่ยวเป็นหมู่คณะ 10 ท่านขึ้นไป

แพ็คเกจ 1 ห้องพักรวม 12 ท่าน ที่พัก-ล่องแก่ง-อาหาร 3 มื้อ (เที่ยง-เย็น-เช้า) ราคาท่านละ 1,000 บาท

แพ็คเกจ 2 ห้องพักระเบียงคู่ 3 ท่าน ที่พัก-ล่องแก่ง-อาหาร 3 มื้อ (เที่ยง-เย็น-เช้า) ราคาท่านละ 1,200 บาท

แพ็คเกจ 3 ห้องพักเดี่ยว 2 ท่าน ที่พัก-ล่องแก่ง-อาหาร 3 มื้อ (เที่ยง-เย็น-เช้า) ราคาท่านละ 1,500 บาท

ด้านหลังรีสอร์ทมีน้ำตกไหลผ่าน มีสไลเดอร์ให้ลูกค้าที่มาพักได้เล่นฟรี และมีร้านอาหารริมน้ำ ครัวชมดาว ให้เราได้ทานอาหารท่ามกลางธรรมชาติ บริเวณนี้เราจะได้ยินเสียงน้ำตกไหลผ่านตลอดเวลา โซนนี้จะเป็นที่ทานอาหารทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็น

ครัวชมดาว บริการอาหารพื้นเมืองของดีเมืองพัทลุง กับเมนูเด็ดที่ห้ามพลาด นั่นก็คือ 

แกงส้มปลานวลจันทร์ผักรวม โดดเด่นด้วยเครื่องแกงใต้หอม ๆ ปลานวลจันทร์ สด ชิ้นใหญ่ ปรุงรสเปรี้ยวเค็มกำลังดี 

ต้มกะทิผักกูดกุ้งสด เมนูนี้เข้มข้นด้วยรสชาติกะทิหวานมันกลมกล่อม ผักกูดเลือกมาเฉพาะยอดอ่อน ๆ กุ้งตัวใหญ่เนื้อแน่น

ต้มยำไก่บ้าน รสชาติจัดจ้าน เสิร์ฟมาแบบหม้อไฟร้อน ๆ

อีกเมนูที่พลาดไม่ได้ คือ ปลาดุกร้าและผักเหลียงผัดไข่ ของดีภาคใต้ไม่ว่าไปจังหวัดไหนก็ต้องลอง 

การมาล่องแก่งชมดาวที่เดียวคุณจะกินเที่ยวได้ครบรส ทั้งการล่องแก่ง เล่นน้ำตก เล่นสไลเดอร์ ทานอาหารริมน้ำ และยังมีที่พักให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ ถ้ากำลังหาที่พัก ที่เที่ยวพัทลุง ที่นี่เป็นอีกตัวเลือกที่เราขอแนะนำค่ะ

ล่องแก่งชมดาว

บริการ ที่พัก ร้านอาหารริมน้ำ ล่องแก่ง

ที่อยู่ : 6/1 หมู่ที่ 1 ต.ลานข่อย อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง

ครัวชมดาว เปิดทุกวัน 09.00-18.00 น. (อาหารเช้าสำหรับลูกค้าที่มาพัก เปิด 07.00 น.)

สอบถามรายละเอียด โทร. 08 0867 7619, 08 3399 8910

Facebook : ล่องแก่งชมดาว พัทลุง

GPS : 7.886680, 99.871259 goo.gl/GEPW1K



สุขสำราญ ปลาฝังทราย กลุ่มสตรีบ้านไร่ใต้ อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง

 

ด้วยกลุ่มสตรีบ้านไร่ใต้ หมู่ที่ 1 ต.นาคา อ.สุขสำราญ จ.ระนอง ต้องการมีอาชีพเสริมที่สร้างรายได้เพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือนและนำความความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นมาปรับใช้ในสังคมยุคปัจจุบัน โดยเริ่มจัดกิจกรรมครั้งแรกตั้งแต่ ปี 2563 ในรูปแบบกลุ่มสนใจ การทำปลาเค็มฝังทราย หลักสูตร 6 ชม. และได้ทำการต่อยอดจนมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถเพิ่มมูลค่า-จัดจำหน่ายสร้างรายได้ให้ครอบครัวและชุมชน

ปลาเค็มฝังดินทรายนั้น เป็นวิธีการถนอมอาหารโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น โดยการนำวัตถุดิบคือปลาทะเล มาผ่านกระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
1. เอาเกล็ดเอาไส้ออกล้างให้สะอาด
2. จุกเกลือเม็ดให้ทั่วตัวปลาและในท้อง แล้วห่อด้วยกระสอบมัดเชือกให้แน่นรอบตัวปลาแล้วนำไปฝังทราย 5 ถึง 7 วัน
3. เมื่อขึ้นมาจากดินล้างให้สะอาดจากนั้นนำมาผูกเชือกห้อยหัวลง 3 วันโดยไม่ต้องใช้แสงแดดในการตากแห้ง
4. นำเข้าตู้เย็น 2 วัน เพื่อเป็นการปรับกลิ่นแอมโมเนียออกจากตัวปลา เป็นการเสร็จกระบวนการ กลายเป็นปลาเค็มฝังดินไร้แดด ซึ่งมีรสชาติอร่อย มีกลิ่นหอม สามารถเก็บไว้ได้นานนับปี

วิธีการเตรียมบ่อฝังทราย มีวิธีการ ดังนี้
1. เตรียมขอบบ่อ ขนาด 100 x 100
2. เตรียมทรายก่อ (ทรายหยาบ)
3. เททรายก่อลงในบ่อความลึก 1 ศอก
ปลาที่นิยมทำปลาฝังทราย ได้แก่ ปลาอินทรีย์ ปลากระบอก ปลาจวด และปลามง ซึ่งเป็นปลาที่ได้จากการประมงพื้นบ้านในเขตพื้นที่ตำบลนาคา วิธีการบรรจุภัณฑ์ใช้ถุงซีลสุญญากาศทำให้สามารถเก็บไว้ได้นานนับปี






เที่ยวบ่อน้ำพุร้อนรมณีย์ ในแบบชีวิตวิถีใหม่



บ่อน้ำพุร้อนรมณีย์ ตั้งอยู่ในซอยบางกลาง หมู่ที่ 4 ตำบลรมณีย์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้มีมาตั้งแต่เมื่อใดนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถจะบอกเล่าได้ ตามที่ได้เริ่มมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2481 ความว่า บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณบ้านทุ่งปรือ บ้านทุ่งปรือแห่งนี้ มีราษฎรอาศัยอยู่จำนวน 7 ครัวเรือน คือ นายเหมือน ไม่ทราบนามสกุล เป็นผู้ใหญ่บ้าน นายเขียว จวนสำเร็จ นายร่ม และนายเริ่ม จันประสาท นายเพิ่ม ช้างใหญ่ นายเลื่อน นายบี และนายพรหม เดิมราษฎรเรียกบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า "พ่อตาบางน้ำร้อน" โดยมีนายเหมือน เป็นร่างทรงของพ่อตาบางน้ำร้อน ไม่มีราษฎรผู้ใดกล้าไปถางป่าในบริเวณบ่อน้ำพุร้อนเพราะมีความเชื่อว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ราษฎรได้นำน้ำในบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ไปใช้ในการอุปโภคและบริโภค ราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาทำไร่ และเลี้ยงเป็ด ต่อมาภายหลังได้เกิดความแห้งแล้งและโรคห่า ราษฎรส่วนหนึ่งได้อพยพไปอยู่ที่อื่น เช่น ตะกั่วป่า หรือหมู่บ้านอื่น ๆ ในตำบลรมณีย์ คงเหลือแต่ไร่นา ต่อมากรมป่าไม้ได้ประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ คือ ป่าเทือกเขาศรีราชา ป่าบางกลัก และป่าเขาบางใหญ่ ในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งก่อนจากนั้นได้ประกาศเป็นป่าเตรียมการไว้ก่อนแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 เป็นเหตุให้ที่ดินบริเวณบ่อน้ำพุร้อนและใกล้เคียงอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติทั้งหมด ทำให้ที่ดินทุกแปลงถ้าออกเอกสารสิทธิ หลังปี พ.ศ. 2526 หรือหลังจากปี พ.ศ. 2507 โดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทางราชการสามารถเพิกถอนได้ตลอดเวลา

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดพังงา ซึ่งใช้เป็นที่พักผ่อนและรักษาโรค เชื่อกันว่าน้ำแร่ อุณหภูมิของน้ำจากบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้ เช่น โรคเหน็บชา โรคไขข้ออักเสบ โรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ เป็นต้น

ลักษณะทางกายภาพ

เป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ มีเนื้อที่ 4 ไร่ โดยมีน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน 5 บ่อ เกิดขึ้นบนที่ราบตามแนวร่องห้วยบางน้ำร้อน อุณหภูมิน้ำผิวดิน 40-63 องศาเซลเซียล (C) น้ำพุร้อน ประกอบด้วยแร่ธาตุมากมาย เช่น  ซัลเฟต คลอไรต์ ไนเตรต

PATA IBU NUNUH ที่เที่ยวใหม่แห่งสายบุรี


ในตอนนี้เป็นช่วงที่ทุกคนอยู่ในความหวาดระแวงของโรคระบาด Covid-19 กันจึงทำให้แม้ในวันหยุดทำงานของคนส่วนมากแล้วในช่วงนี้จะกักตัวกันอยู่ที่บ้านกันตามที่รัฐบาลได้ประกาศให้อยู่บ้านเพื่อชาติกัน แต่สำหรับบางคนการอยู่ที่จะอยู่บ้านทั้งวันบางครั้งก็อาจจะเบื่อไปบ้างวันนี้ผู้เขียนจะพาไปรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของหมู่บ้านบางเก่า ตำบลบางเก่า อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของหมู่บ้านแห่งนี้ พึ่งจะมีการเปิดสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เมื่อไม่นานมานี้ ได้ตั้งชื่อแหล่งท่องเที่ยวนี้ว่า PATA IBU NUNUH เป็นชื่อภาษามาลายู ถ้าแปลเป็นภาษาไทยจะมีชื่อว่า "หาดม้าน้ำ" นั่นเองเพราะที่หาดแห่งนี้จะมีสัญลักษณ์รูปปั้นของม้าน้ำสองตัวอยู่คู่กันจะเห็นได้ชัดมาก ถ้าได้ขับรถบนถนนสายปะนาเระ-สายบุรี ที่หาดแห่งนี้ในช่วงนี้ก็จะไม่ค่อยมีผู้คนนอกพื้นที่มาเที่ยวกันเลยเพราะด้วยโรคระบาด Covid-19 ทำให้เป็นโอกาสของผู้เขียนที่จะได้ออกมาดูบรรยากาศที PATA IBU NUNUH แห่งนี้เป็นช่วงที่มีผู้คนน้อยมากและผู้เขียนเองก็จะอยู่ห่าง ๆ จากคนที่อยู่ที่หาดนี้ด้วยไม่ได้เข้าไปใกล้กับคนอื่นเลย

ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย TKP

 
Copyright © 2018 Thailand Knowledge Portal. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand