TKP HEADLINE

Showing posts with label (1)ภาคกลาง. Show all posts
Showing posts with label (1)ภาคกลาง. Show all posts

ดูบัว คาเฟ่ (Dubua)

 ดูบัว คาเฟ่ (Dubua)


ดูบัว คาเฟ่ (Dubua) ที่เที่ยวนครปฐมแห่งใหม่ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของอำเภอนครชัยศรี ซึ่งเป็นทั้งคาเฟ่และแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มาชมกันเลยว่าที่นี่มีอะไรเด็ด ๆ บ้าง ตั้งอยู่บนพื้นที่ 54 ไร่ ท่ามกลางบึงบัวอันกว้างใหญ่ภายในมีสิ่งน่าสนใจมากมายหลากหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นโซนดูบัว คาเฟ่
โซนร้านน้ำสมุนไพร ร้านอาหารฟิวชั่น โซนอาคาร หมีมีหมี่ โซนเลี้ยงสัตว์ที่เปิดให้เข้าชมฟรี โซนพืชผลออแกนิคเกษตรอัจฉริยะ มีบริการจักรยานและเรือถีบ ที่สำคัญมีมุมนั่งชิลล์ มุมสวย ๆ ให้สายเซลฟี่ได้ถ่ายรูป อีกเพียบบรรยากาศถือว่าดีมากสำหรับคนไปพักผ่อน อยากเที่ยวแบบชิลล์ๆในส่วนของคาเฟ่นั้น ตั้งอยู่กลางน้ำมีบริการเมนูอร่อย ๆ มากมาย ทั้งชา กาแฟ น้ำสมุนไพร ขนมหวาน เค้ก ไอศกรีม ไว้บริการในราคาไม่แพง รวมทั้งของฝากอีกเพียบ สำหรับเครื่องดื่ม Signature คือ กระเจี๊ยบพุทราจีน และ น้ำรากบัว

ส่วนร้านอาหารชื่อ หมีมีหมี่ เป็นเรือนกระจกอยู่ทางด้านหลัง มีเมนูอร่อยไว้บริการลูกค้า
ที่อยากแวะมาฝากท้อง สำหรับเมนูจานเด็ดต้องยกให้เมนู หมี่กะทิ ผัดหมี่โคราช ข้าวซอยไก่ รสชาติอร่อย รับรองได้มาทานแล้วจะต้องติดใจ





การเดินทาง

วิ่งเส้นศาลายา ข้ามทางรถไฟแวขับตรงมาจนถึง ร้านกล้วยไม้ แอร์ออร์คิด ขับเลยไป 200 เมตรเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นนราภิรมย์ตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นร้านอยู่ทางด้านขวา

ดูบัว คาเฟ่ (Dubua)
พิกัด : ตำบลบางแก้วฟ้า อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
เปิดบริการ : วันอังคาร-วันศุกร์ เวลา 08.00 น.-17.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์)
และวันเสาร์-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 08.00 น.-18.30 น. โทร. 08 1451 0100









กระยาสาทรกล้วย อีกหนึ่งความอร่อยของตำบลหนองมะโมง

กระยาสาทรกล้วย อีกหนึ่งความอร่อยของตำบลหนองมะโมง


กระยาสารท (/กระยาสาด/) เป็นขนมไทย ทำจากถั่ว งา ข้าวคั่ว และน้ำตาล มักทำกันมาก
ในช่วงสารทไทย แรม 15 ค่ำ ปลายเดือน 10 และบางท้องถิ่นนิยมรับประทานกับกล้วยไข่
มีกล่าวถึงในนิราศเดือนสิบว่า ขนมกระยาสารทเป็นขนมโบราณ มีความพิเศษตรงที่เป็นขนม
สำหรับงานบุญประเพณีของไทยเรียกได้ว่าเป็นขนมที่มีประเพณี และวันเวลาเป็นของตัวเอง
ชัดเจนมากเลยทีเดียว จนอาจจะทำให้หลายคนนึกสงสัยขึ้นมาได้ ว่าทำไมขนมกระยาสารท
หอมหวานที่เป็นแพเหนียว ๆ นี้ จึงมีความสำคัญมากเสียจนต้องจัดพิธีทำบุญด้วยขนมกระยาสารท

เป็นอาหารที่ทำให้ฤดูสารท กระยาสารทนี้เนื่องมาจาก ข้าวมธุปายาส ซึ่งเป็นอาหารอินเดียใช้ข้าว น้ำตาล น้ำนม ผสมกัน ซึ่งนางสุชาดาหุงถวายพระพุทธเจ้า ส่วนผสมของกระยาสารทไทยมีข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่วลิสง งาคั่วให้สุกเสียก่อน แล้วนำมากวนกับน้ำอ้อยกวนให้เหนียวกรอบเกาะกันเป็นปึก
จะทำเป็นกรอบเป็นก้อนหรือตัดเป็นชิ้น ๆ เก็บไว้ได้นานทำจากพืชผลแรกได้กระยาสารทเป็น
ของหวานจัด โดยมากจะกินกับกล้วยไข่สุกทำถวายพระเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
กระยาสารทกำหนดทรงบาตรที่วิเศษ ในการพระราชพิธีสารทนี้ตกทอดกันมานาน



สืบเนื่องจากศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจำตำบลหนองมะโมง มีการดำเนินงานในด้านเกษตรธรรมชาติ คือ การทำไร่นาสวนผสม ปลูกผักปลอดสารพิษ และมีผลิตภัณฑ์ที่ดำเนินการภายในศูนย์ คือ *เชื้อราบิวเวอเรีย* ฮอร์โมนไข่* จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง* ยาฆ่าแมลงปลอดสารพิษ* ปุ๋ยจานด่วน เป็นต้น ซึ่งทาง กศน.ตำบลหนองมะโมง ได้มีการส่งเสริมและสนับศูนย์เรียนรู้ปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียงฯ อย่างต่อเนื่อง

การดำเนินของศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงฯ จะมีสมาชิกกลุ่มเข้ามาเรียนรู้ภายในศูนย์แล้วนำความรู้ไปต่อยอดใช้ในครัวเรือนของตนเอง แต่เนื่องจากปีนี้เกิดสภาวะภัยแล้ง จึงทำให้การดำเนินการเกี่ยวกับการเกษตรไม่ได้ผลผลิต ทางสมาชิกกลุ่มได้ร่วมกันคิดหารายได้อื่นเสริม แล้วแนวคิดว่าทางสมาชิกกลุ่มทุกครัวเรือนมีกล้วยที่ปลูกไว้เกือบทุกบ้านมีความเห็นที่จะทำกระยาสารทกล้วยขึ้น ทางประธานกลุ่มและสมาชิกได้มาประสานขอการสนับสนุนในการเรียนรู้การทำกระยาสารทกล้วยเพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับกลุ่ม
และสมาชิกกลุ่มผ่านทางนางสาวพรทิพย์ อินทร์งาม ครู กศน.ตำบลหนองมะโมง กศน.อำเภอหนองมะโมง โดย นางสาววิราภรณ์ ชะม้อย ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอหนองมะโมง ได้เล็งเห็นความสำคัญและได้อนุมัติโครงการการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพหลักสูตรระยะสั้น จำนวน 6 ชั่วโมง ทุกคนร่วมกันคิดค้นลองผิดลองถูกในการทำกระยารทกล้วย จนได้สูตรการกระยารทกล้วยที่อร่อยหอมหวานน่ารับประทานที่ไม่เหมือนใคร


ตำแหน่งทีตั้ง : ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประจำตำบลหนองมะโมง หมู่ที่ 5 บ้านดอนใหญ่ ตำบลหนองมะโมง อำเภอหนองมะโมง จังหวักชัยนาท

การเดินทาง : ถนนสายหนองมะโมง ไป ดอนใหญ่ ระยะทางจาก กศน.อำเภอหนองมะโมง ประมาณ 5 กิโลเมตร

ผู้เขียนและรวบรวมข้อมูล : นางสาวพรทิพย์ อินทร์งาม


ตลาดโพนางดำ-ตลาด 100 ปี ของชาวจีนโพ้นทะเล

 ตลาดโพนางดำ-ตลาด 100 ปี ของชาวจีนโพ้นทะเล

    ประวัติความเป็นมาของตำบลโพนางดำตกนั้น เดิมตำบลโพนางดำตก เป็นตำบลขนาดใหญ่
และเป็นชื่อของตำบลเพียงตำบลเดียว โดยมีตลาดเป็นแหล่งค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า
ผู้คนส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตามตำนานของตลาด เชื่อกันว่าในสมัยก่อน
มีผู้ก่อตั้งตลาด (ตลาดเทศบาลตำบลโพนางดำในปัจจุบัน) ชื่อว่า
"นางดำ" เป็นหญิงชรา
เจ้าของตลาดผู้มีนิสัยใจดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ประกอบกับบริเวณท้ายตลาดมีตันโพธิ์ศรีมหาโพธิ์
ขนาดใหญ่ซึ่งมีอายุเก่าแก่หลายปี นางดำมักจะมาหมั่นดูและรดน้ำพรวนดินให้กับต้นโพธิ์ใหญ่นั้นอยู่เสมอ ๆ ต่อมานางดำได้เสียชีวิต ชาวบ้านในระแวกนี้จึงได้เรียกชื่อต้นโพธิ์ต้นดังกล่าว
ตามชื่อผู้ที่มาดูแลต้นโพธิ์ คือ โพนางดำ ซึ่งหมายถึง ต้นโพธิ์ของนางดำนั่นเอง

    ส่วนคำว่า "ตก" นั้นใช้แบ่งทิศของตำบลโพนางดำเดิม ซึ่งใช้แนวทิศและแม่น้ำเจ้าพระยา
แบ่งเขต คือ โพนางดำตก และโพนางดำออก เทศบาลตำบลโพนางดำตก ตั้งอยู่ทางทิศ
ตะวันตก จึงได้เรียกชื่อกันต่อมาว่า "โพนางดำตก"


ตลาดโพนางดำ ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ชุมชนบ้านโพนางดำ ตำบลโพนางดำตก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เป็นตลาดของคนไทยเชื้อสายจีนที่มีบรรพบุรุษเป็นคนจีนโพ้นทะเลเชื้อสายแต้จิ๋ว ที่อพยพมาจาก
เมืองซัวเถา ประเทศจีนเข้ามาสู่ประเทศไทย ทั้งนี้ ชาวจีนโพ้นทะเลเมื่ออพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยส่วนหนึ่งเลือกตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนต่างจังหวัด ตลาดโพนางดำ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในการตั้งถิ่นฐาน
ของชาวจีนอพยพเหล่านั้น ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบรรพบุรุษชาวจีนที่อพยพมาตั้งรกรากมา
และค้าขายอยู่ที่ตลาดโพนางดำมากกว่า 100 ปี สินค้าที่มีชื่อเสียง และมีการซื้อขาย ในตลาดโพนางดำ
มาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เช่น ขนมหน้างากุยหลี ขนมโบราณ ของดีจังหวัดชัยนาท ซึ่งหากผ่านหรือแวะมาจังหวัดชัยนาท ต้องไม่พลาดที่จะหาซื้อเป็นของฝากหรือของที่ระลึกเพราะเป็นขนมหนึ่งเดียวของจังหวัดชัยนาท ที่มีรสชาติอร่อยและมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร อีกหนึ่งร้านที่มีชื่อเสียง คือ ร้านขายแหนายเฮ้า ที่ชาวประมงทั่วประเทศหาซื้อเพราะเมื่อใช้แหจากร้านนี้จับปลาแหจะบานกว้างและหุบเร็วจึงทำให้จับปลาได้มากกว่าแหจากที่อื่น



สถานที่สำคัญหลายแห่งมีประวัติศาสตร์เรื่องราวที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับตลาดโพนางดำทั้งที่พบอยู่ในบริเวณตลาดและบริเวณชุมชน โดยรอบที่สามารถนำมาออกแบบและพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยว เชิงสร้างสรรค์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเรียนรู้วิถีการท่องเที่ยวแบบวิถีชนบทที่เป็นวิถีแบบ Slow Life มีดังนี้

ร้านแหนายเฮ้า

เป็นร้านแหที่มีชื่อเสียงร้านหนึ่งของจังหวัดชัยนาทซึ่งเริ่มขายมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังไม่มีถนนตัดผ่าน
เข้ามาในตลาดโพนางดำ แหที่จำหน่ายในอดีตจะทำจากด้ายผ้าที่ย้อมด้วยยางตะโก เพื่อให้สามารถ
ใช้งานได้ทนทาน สมัยก่อนบริเวณตลาดโพนางดำจะมีต้นก้ามปูปลูกอยู่หลายต้น ปัจจุบันถูกทำลาย
ไปหมดแล้วและก้ามปูในพื้นที่อื่นก็ค่อนข้างหายาก การทำแหในปัจจุบันจึงได้พัฒนามาใช้เอ็น
แทนด้ายดังเช่นสมัยก่อน โดยเอ็นจะมี 2 ลักษณะ คือ เอ็นสีฟ้าเป็นเอ็นปอร์น และสีเขียวเป็นเอ็นเกลียว
ทั้งนี้ทางร้านสั่งซื้อแหที่เป็นเนื้อเอ็นเปล่า ๆ หลังจากนั้นนำมาติดตะกั่วโดยชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งได้มีการรวมกลุ่มกันของชาวบ้านเป็น “กลุ่มทำอุปกรณ์ประมงบ้านโพนางดำ” ที่เป็นการนำเอ็นจากร้านแหนายเฮ้ามาทำการรุมหัวรุมท้ายใส่ตะกั่วจนข่ายพร้อมใช้งาน โดยการรุมข่ายนั้นจะเอาเชือกเข้าชุนแล้วนำเชือกอีกเส้นหนึ่งร้อยเข้าไปในข่ายแล้วเริ่มรุมข่ายเมื่อรุมเสร็จแล้วจึงทิ้งหัวและท้ายนำตะกั่วมาใส่ท้ายจะได้ข่ายพร้อมใช้งาน แหที่จำหน่ายโดยร้านขายแหนายเฮ้าในตลาดโพนางดำ มีจุดเด่นที่แตกต่างจากแหที่จำหน่ายในพื้นที่อื่นคือเมื่อทอดแหลงไปในน้ำแหจะบานออกทำให้ปลาติดแหดีซึ่งเป็นเทคนิควิธีการเฉพาะในการติดตะกั่ว และการพัฒนาในการทำแหของชาวชุมชนตลาดโพนางดำมาจากการบอกต่อของลูกค้าถึงความต้องการ
ของคุณสมบัติของแหที่ต้องการนำไปใช้ ซึ่งนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจชมสาธิตการทอดแหและทดลองทอดแหด้วยตนเองซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจหาได้โดยทั่วไป


ตลาดเช้าโพนางดำ

หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ตลาดสายหยุด” เป็นชื่อที่ได้รับการเรียกขานจากชาวบ้านที่มาจับจ่ายใช้สอยภายในตลาดเนื่องจากเป็นตลาดเช้าที่เปิดขายสินค้าประมาณตี 4 และประมาณ 8 โมงเช้าแม่ค้าจะเริ่มเก็บของจึงเป็นที่มาของชื่อ “ตลาดสายหยุด” สินค้าที่ขายเป็นผักสดที่ปลูกเองโดยชาวบ้าน ปลาแม่น้ำที่จับได้จากแม่น้ำเจ้าพระยา อาหาร และขนมพื้นถิ่นที่มีรสชาติอร่อย เช่น ขนมกุยช่าย ขนมผักกาด และขนมชั้นเป็นต้น

ท่าเรือ 100 ปี

ปัจจุบันไม่มีท่าเรือนี้แล้วมีแต่โป๊ะเรือข้ามฝาก อีกทั้งในช่วงเช้าพระสงฆ์วัดไผ่ล้อม ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยาใช้ข้ามฝากเพื่อมาบิณฑบาตให้ชาวบ้านได้ทำบุญตักบาตร

โพแม่นางดำ ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์

จากหลักฐานในนิราศนครสวรรค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแสดงให้เห็นถึงต้นโพธิ์ใหญ่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่บ้านโพนางดำ สืบอายุแล้วมีอายุหลายร้อยปี อีกทั้งมีศาลที่ชาวบ้านนับถือและกราบไหว้ได้รับการดูแลสืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ต้นโพธิ์นี้เป็นที่มาของประวัติศาสตร์ชุมชน “โพแม่นางดำ” ที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ศาลปึงเถ่ากง-ม่า

ศาลที่คนในชุมชนโพนางดำให้ความเคารพนับถือและกราบไหว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นขวัญกำลังใจ แต่เดิมเป็นศาลไม้ที่เจ้าของตลาดรุ่นแรกได้สร้างขึ้นบริเวณทางเข้าด้านท้ายชุมชนหรือด้านหลังตลาด ต่อมาเจ้าของตลาดรุ่นถัดมาได้มีการบูรณะสร้างเป็นศาลปูนทดแทนเนื่องจากศาลไม้เก่าชำรุดทรุดโทรม และเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2523 ได้มีการย้ายศาลมาตั้งอยู่ข้างประตูทางเข้าด้านหน้าตลาดมาจนถึงปัจจุบัน ชาวชุมชนและชาวตลาดเรียกศาลนี้ว่า “ศาลเหล่าแปะกง”



วัดซุ้มกระต่าย

แต่เดิมใช้ชื่อวัดหนองหม้อแกงซึ่งเป็นวัดที่มีเพียงพระพุทธรูปและยังคงเป็นสำนักสงฆ์ ต่อมาหลวงพ่อเอิบได้ย้ายจากวัดไผ่ล้อมมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ พร้อมทั้งพัฒนาจนมีอุโบสถและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ จนได้จัดตั้งเป็นวัดจนถึงปัจจุบัน ภายในวัดมีสังขารหลวงพ่อเอิบที่ร่างของท่านไม่เน่าเปื่อยและมีชื่อเสียงในฐานะเป็นพระเกจิอาจารย์ด้านการปลุกเสกวัตถุมงคลหลายชนิด










เขื่อนวชิราลงกรณ

เขื่อนวชิราลงกรณ เดิมมีชื่อว่า "เขื่อนเขาแหลม" เป็นเขื่อนหินถมแห่งแรกของประเทศไทยที่ดาดผิวหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ตั้งอยู่บนแม่น้ำแควน้อยเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ เป็นโครงการเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำอันเป็นทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งทางตรงและทางอ้อม



เป็นเขื่อนหินถมแห่งแรกของประเทศไทย ที่ดาดผิวหน้า ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นแม่น้ำแควน้อย ในท้องที่ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ห่างจากตัวอำเภอทองผาภูมิไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 6 กิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี 153 กิโลเมตร มีความสูงจากฐาน 92 เมตร สันเขื่อนกว้าง 10 เมตร ความยาวสันเขื่อน 1,019 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) +161.75 เมตร
ปริมาตรตัวเขื่อน ประมาณ 8.1 ล้านลูกบาศก์เมตร อ่างเก็บน้ำอยู่ในท้องที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี ของจังหวัดกาญจนบุรี มีพื้นที่รับน้ำฝน 3,720 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำไหล เข้าอ่างเฉลี่ยปีละ 5,500 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีปริมาตร เก็บกักสูงสุด ปกติ 8,860 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่ระดับ +155.0 เมตร (รทก.) โรงไฟฟ้าเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก  ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดกำลังผลิตเครื่องละ 100,000 กิโลวัตต์ จำนวน 3 เครื่อง รวมกำลังผลิต 300,000 กิโลวัตต์ ให้พลังงานเฉลี่ยปีละ 760 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง/ปี 

การก่อสร้างเริ่มในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2522 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2527 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ  ทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนเขาแหลม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2529 ได้รับพระราชทานชื่อใหม่แทนชื่อเขื่อนเขาแหลมจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2544 ว่า “เขื่อนวชิราลงกรณ”

เขื่อนวชิราลงกรณแห่งนี้ นับเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ ขนาดใหญ่ลำดับที่ 4 ของประเทศไทย
รองจากเขื่อนภูมิพล  เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนสิริกิติ์ 


เขื่อนวชิราลงกรณ เป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตและเขื่อนเอนกประสงค์
ในโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำแม่กลอง และบริเวณเหนือเขื่อน มีทิวทัศน์สวยงาม เหมาะสำหรับ
การล่องเรือชมทิวทัศน์ สภาพธรรมชาติของอ่างเก็บน้ำ และสามารถชมสวนมะพร้าวกะทิ
บนเกาะกลางน้ำ ซึ่งต้องนั่งเรือจากเขื่อนไป  1 ชั่วโมง

เขื่อนวชิราลงกรณนอกเหนือจากสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าแล้ว ยังได้เอื้ออำนวยประโยชน์
ในด้านอื่น ๆ อีก ดังนี้

    1. ด้านการอุปโภคบริโภค
    2. ช่วยผลักดันน้ำเค็มและไล่น้ำเสีย
    3. ด้านการชลประทานและการเกษตร
    4. ด้านการประมง
    5. ด้านการบรรเทาอุทกภัย
    6. ด้านการคมนาคมและการท่องเที่ยว
    7. ด้านการผลิตไฟฟ้า

โดยปกติ น้ำในฤดูฝน ทั้งในลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่ จะมีปริมาณมากเมื่อไหลมารวมกันจะทำให้เกิดน้ำท่วม ลุ่มน้ำแม่กลอง เป็นประจำหลังจากได้ก่อสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณแล้วเสร็จ อ่างเก็บน้ำของเขื่อนทั้งสองจะช่วยเก็บกักน้ำไว้เป็นการบรรเทาอุทกภัย ในพื้นที่ดังกล่าวอย่างถาวร 















ร้านกาแฟนาตาชม


ร้านกาแฟนาตาชม


ร้านกาแฟกลางทุ่งนา ยังคงฮอตฮิตติกระแส ที่มีให้เห็นเกือบทุกจังหวัดไปซะแล้ว ไม่เว้นแต่จังหวัดเพชรบุรี ที่มีร้านกาแฟสไตล์บ้านทุ่ง ชื่อว่า นาตาชม คอฟฟี่ ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนากว้างใหญ่ มีสะพานไม้ทอดยาวกลางทุ่งนา กระท่อมริมนาข้าวให้ได้นั่งพักผ่อน นอกจากมีวิวเป็นนาข้าวเขียวขจีแล้ว ยังมีต้นตาลซึ่งเป็นต้นไม้เอกลักษณ์ของเพชรบุรีเป็นฉากหลังมุมถ่ายภาพนกระยางสีขาวที่สามารถพบเห็นทั่วไปได้ตามทุ่งนา กลายเป็นเสน่ห์ของร้านกาแฟกลางทุ่งในแบบเพชรบุรีสไตล์

นาตาชม คอฟฟี่ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรีมาเล็กน้อย ร้านตั้งอยู่ริมถนนชนบทติดทุ่งนา เมื่อมาถึงสามารถจอดรถไว้บริเวณข้างล่างหรืออาจจอดริมถนน ซึ่งมีที่จอดรถไม่มาก ภายในร้านมีมุมถ่ายภาพที่สวยงามหลายจุด เริ่มตั้งแต่ป้ายชื่อร้าน และสะพานข้ามไปยังห้องน้ำ ที่ยกสูงขึ้นมาเหนือสะพานไม้กลางทุ่งนา มุมแปลชิงช้า สำหรับนั่งถ่ายภาพเล่น ๆ


ภาพโดย https://www.facebook.com/นาตาชมคอฟฟี่-เพชรบุรี-293821241239179

เนื้อหา/เรื่อง โดย https://tinyurl.com/2642cyrb




แอน&โอ๋ Homemade Bakery

แอน&โอ๋ Homemade Bakery


กาแฟเป็นทั้งพืชเศรษฐกิจที่มีบทบาทสําคัญ และเป็นเครื่องดื่มที่คนไทยรู้จักนานและน้อยคนที่จะปฎิเสธ กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติเฉพาะตัว มีความเข้มข้นและหอมในตัว ซึ่งปัจจุบันกิจการร้านกาแฟมีการขยายตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเรียบง่ายหรือเน้นขายที่ผลิตภัณฑ์หรือขายรูปลักษณ์ จึงทําให้เกิดกระแสเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจําวันได้อย่างลงตัว แต่อย่างไรก็ตามการดื่มการแฟก็ไม่ได้ถูกตัดสินว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีทั้งโทษและประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนอาจจะดื่มกาแฟทุกวัน และวันละหลาย ๆ แก้ว ดังนั้นกาแฟจึงเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจําวันอย่างแพร่หลาย จึงทําให้กิจการร้านกาแฟเกิดขึ้นมากมายและมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ทําให้เกิดการแข่งขันกันสูงขึ้นเรื่อย ๆ




วัดพระนอน หรือ วัดบางพลีใหญ่กลาง

                                     วัดพระนอน หรือ วัดบางพลีใหญ่กลาง


วัดบางพลีใหญ่กลาง สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2367 ชาวบ้านเรียกว่า “วัดกลาง” เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางระหว่างวัดบางพลีใหญ่ในกับวัดคงคาราม (วัดยายหนู) ซึ่งเป็นวัดสร้างเดิมที่ตั้งวัดเป็นที่ดินของนายช้างหมื่นราษฎร์ โดยนายน้อย หมื่นราษฎร์ พี่ชายเป็นผู้สร้างขึ้นและได้ขนานนามวัดว่า “วัดน้อยปทุมคงคา” เพราะได้ขุดสระปลูกบัวหลวงไว้ด้วย ต่อมาเปลี่ยนนามวัดใหม่ว่า “ วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม ” และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็น “วัดบางพลีใหญ่กลาง” โดยมิปรากฏแน่ชัดว่าเปลี่ยนในสมัยเจ้าอาวาสรูปใด วัดบางพลีใหญ่กลางได้รับพระราชทานวิสุคามสีมา เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2478 เขตวิสุคามสีมา กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร ในด้านการศึกษาทางวัดจัดให้มีการเรียนพระปริยัติธรรมตลอดมา นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนการศึกษาของชาติโดยให้ความร่วมมือกับทางราชการให้ที่วัดสร้างโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ปัจจุบันวัดบางพลีใหญ่กลางมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "วัดพระนอน"        




วัดหนองยาว

 

วัดหนองยาว


ประพรมน้ำพุทธมนต์เสาร์ ๕ น้ำมนต์เพ็ญ หรือจะบูชารูปหลวงพ่อหยกสีประจำวันเกิด สติกเกอร์หลวงพ่อหยกไว้ติดรถยนต์ ไม้มงคลศักดิ์สิทธิ์ (ล้มลุก) แคล้วคลาดปลอดภัย นกสาลิกา เมตตา-มหานิยม น้ำมันเลียงผา ยาหม่องทิพย์เกษรหรือจะทำบุญสร้างกุฏิสงฆ์ สร้างห้องสุขา สร้างวิหาร ซื้อที่ดิน สมทบทุนสร้างอุโบสถหรือจะบำรุง ค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้าตามกำลังศรัทธาหรือบริจาคเป็นทุนการศึกษา-อาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียนหรือเป็นอุปกรณ์การเรียน กีฬา ตลอดจนเสื้อผ้า (สีสันเด็ก ๆ เดาะบอลแก้บนหลวงพ่อหยกขาว) และที่หน้าวิหารหลวงพ่อหยก ครูต่อ ครูพละศึกษา โรงเรียนบ้านหนองยาว พาเด็ก ๆ นักกีฬาโรงเรียน ถือลูกบอล ลูกตะกร้อใส่พานพร้อมดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้หลวงพ่อหยกขาว ถามว่ามาทำอะไร พอไหว้อธิฐานเสร็จ เด็ก ๆ ก็เดาะบอล เดาะตะกร้อ ตามแต่ละคนถนัด เป็นการแก้บนของเด็ก ๆ ที่ตั้งใจมาถวายเครื่องกีฬาและเดาะบอลโชว์ เพราะรู้ว่าหลวงพ่อหยกขาวชอบกีฬา ที่ชาวบ้านมักมาบน พอประสบความสำเร็จก็จะนำของมาแก้บนพร้อมการละเล่น อุปกรณ์กีฬาชนิดต่าง ๆ มาถวาย ซึ่งเป็นกุศโลบายของท่านเจ้าอาวาส ที่ต้องการให้ผู้ปกครองสนับสนุนส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกาย สุขภาพแข็งแรงโดยการเล่นกีฬา ห่างไกลจากยาเสพติดและเกมพนันออนไลน์ ส่วนลูกฟุตบอล ลูกตะกร้อและอุปกรณ์กีฬาที่ชาวบ้านนำมาแก้บน ทางวัดก็จะนำไปส่งต่อมอบให้กับตามโรงเรียนต่าง ๆ ที่ขาดแคลน ทางด้านครูต่อ ศิริชัย อบแย้ม ได้เล่าให้ฟังว่า เนื่องจากที่ผ่านมาพระครูสุตาภิวัฒน์ หลวงพ่อเหวียง เจ้าอาวาสวัดหนองยาว ได้ช่วยเหลือสนับสนุนเงินส่วนหนึ่ง ที่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวมากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อหยกขาว ทั้งเรื่องขอให้มีบุตร ขอให้ลูก หลาน เลี้ยงง่าย สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย


การค้าขายเจริญรุ่งเรือง ส่วนนักเรียนนักศึกษาก็จะมาขอพรให้เรียนได้เกรดคะแนนดี ๆ หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ สำหรับข้าราชการก็จะมาขอพรเกี่ยวกับขอเลื่อนขั้น เลื่อนตำเหน่ง และขอโชคลาภ เมื่อขอพรความสำเร็จแล้ว ทุกคนที่มีผู้มีจิตศรัทราใจบุญจะทำบุญกับหลวงพ่อหยกขาวและนักบอลโรงเรียนบ้านหนองยาวก็มาขอพรและบนเดาะบอลคนละ 2 นาที 200 ครั้ง ก่อนจะไปแข่งขันฟุตบอลเยาวชนเงินล้านและติด 1 ใน 3 ประจำอำเภอด่านช้าง ได้ไปแข่งระดับจังหวัดต่อไป

ด้านพระครูสุตาภิวัฒน์ หลวงพ่อเหวียง เจ้าอาวาสวัดหนองยาว จึงได้นำเงินส่วนหนึ่ง นำไปซื้ออุปกรณ์กีฬา ทั้งลูกฟุตบอล ตะกร้อ วอลเลย์บอล และอุปกรณ์กีฬาอื่นอีกมากมาย นำไปมอบให้กับโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารและยังขาดแคลนอุปกรณ์กีฬา เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ส่งเสริมให้เยาวชนและนักเรียนที่ด้อยโอกาสไม่มีอุปกรณ์กีฬาได้เล่นฝึกซ้อมกีฬาต่าง ๆ เพื่อจะได้ให้เยาวชนตามโรงเรียนชนบท มีโอกาสได้พัฒนาฝึกซ้อมฝีมือการเล่นกีฬา จะได้พัฒนาในการเล่นกีฬาให้ก้าวไปสู่ระดับอาชีพต่อไปได้ และยังเป็นการสนับสนุนให้เยาวชนได้สนใจหันมาเล่นกีฬากันมากขึ้น จะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่ไปหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกม และยังให้ลูกหลานได้ห่างไกลยาเสพติดอีกด้วย


ตำแหน่งที่ตั้ง : อยู่ที่หมู่ที่ 2 ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
การเดินทาง : จากอำเภอด่านช้าง เส้นทางถนนด่านช้าง – บ้านไร่ ถึงแยกป้อมตำรวจวังคันเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 15 กิโลเมตร พบทางแยกเลี้ยวซ้ายตรงไปวัดหนองยาวประมาณ 10 กิโลเมตร

จัดทำโดย  นางสาวผกาวลีย์  บุญธรรม
กศน.ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง  จังหวัดสุพรรณบุรีจัดทำโดย  นางสาวผกาวลีย์  บุญธรรม
กศน.ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง  จังหวัดสุพรรณบุรี
จัดทำโดย  นางสาวผกาวลีย์  บุญธรรม
กศน.ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง  จังหวัดสุพรรณบุรี






ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน

 ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน

                  
ตลาดย้อนยุคบ้านระจัน ตั้งอยู่ที่วัดโพธิ์เก้าต้น อ.ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เป็นตลาดจำลองหมู่บ้านของชาวบ้านระจัน ในอดีต มีเอกลักษณ์ด้านการแต่งกายและคำพูด เป็นตลาดโบราณน่ารัก ๆ และอบอุ่น มีร้านค้าชาวบ้าน อาหารมากมาย มาเที่ยวแล้วรับรองไม่ท้องว่างกลับไป เพราะมีแต่ของ อร่อย ๆ น่ากิน ๆ แถมพ่อค้าแม่ค้า ก็ยังใส่ชุดแบบชาวบ้านสมัยก่อน พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ ใส่ชุดไทยแบบชาวบ้านบางระจันกันทุกร้านเลย ดูแล้วได้บรรยากาศมาก ๆ มีทั้งขนมไทย ๆ อาหารไทย ๆ หากินได้แทบทุกอย่างจากตลาดแห่งนี้ มาชิมมาลองอะไรที่ไม่เคยกินไม่เคยรู้จักกับอาหารไทยโบราณ ๆ กันดูสักที




บรรยากาศตลาดที่อยู่ในค่ายบางระจัน ทำให้เรานึกถึงฉากในหนัง กับกำแพงไม้ที่คุ้นตา สำหรับคนที่แวะเวียนไปเที่ยวตลาดอยากจะใส่ชุดไทยก็มีให้เช่ากัน ในราคา 100 บาท วีรชนคนกล้าในแบบที่ชาวสิงห์บุรีภูมิใจ มาแล้วต้องได้ลองมาใส่เสื้อผ้าแบบนี้ หรือจะถ่ายรูปคู่กับพี่ ๆ กลับไปก็ได้เช่นกัน










วัดบางแพใต้

 

ประวัติความเป็นมาของวัดบางแพใต้

วัดบางแพใต้ เดิมชื่อ “วัดช่องลมยางสูงวราราม” ตั้งอยู่เลขที่ 142 หมู่ที่ 3 ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ตามประวัติเป็นวัดเก่าแก่ก่อสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ปีพุทธศักราช 2350 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อพุทธศักราช 2440 มีอายุการก่อสร้างประมาณ 214 ปี สังกัดมหานิกาย ภาค 15

ลักษณะทางภูมิศาสตร์ วัดบางแพใต้ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบ กลางหมู่บ้านบางแพใต้ และมีชุมชนอื่น ๆ ล้อมรอบ มีถนนลำคลอง เส้นทางคมนาคมสัญจรสะดวกสบาย ห่างจากที่ว่าการอำเภอบางแพ ประมาณ 500 เมตร ที่สะดวกเดินทางโดยใช้รถยนต์ บริเวณวัดมีแมกไม้ยืนต้นให้ความร่มรื่น เย็นสบาย มีเนื้อที่ 32 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา มีอาณาเขตทิศเหนือยาว 156.80 เมตร จรดถนนซอยเข้าหมู่บ้าน ทิศใต้ยาว 148.55 เมตร จรดถนนเข้าหมู่บ้าน ทิศตะวันออกยาว 172.80 เมตร จรดลำคลองสาธารณะ ทิศตะวันตกยาว 175 เมตร จรดที่ตั้งโรงเรียนมัธยมและประถม

กลุ่มชุมชนและประชาชน โดยรอบวัดเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่นี้มาแต่โบราณ และสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีมาทางมรดก มีความเชื่อและศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของศาสนาพุทธมาอย่างเหนียวแน่นโดยมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ในทางศาสนาที่ประดิษฐานอย่างมั่นคงในวัดบางแพใต้

 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด

เรือย่าโขน

จากคำบอกเล่าดั้งเดิม เล่าว่าตั้งอยู่ที่วัดหลวง ตำบลวังเย็นคู่กับเรือมีระฆัง และพระโลหะเนื้อสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปยืนอุ้มบาตรสูง 80 เซนติเมตร ต่อมามีผู้นำเรือมาถวายวัดเหนือ ตอนหลังวัดเหนือร้างคณะกรรมการจึงนำมาถวายวัดบางแพใต้ คนเก่าแก่เล่าต่อมาว่า เรือย่าโขนมีประวัติเกี่ยวโยงมาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 ตอนยกทำไปรบกับพม่าที่บางแก้ว เดินทางผ่านบางแพได้ทิ้งเรือไว้ 1 ลำ ที่วัดหลวง

เรือย่าโขน ส่วนหัวเป็นไม้แกะสลักครึ่งสิงห์ครึ่งนกคาบดวงแก้ว จากลายแกะสลักคล้ายหน้าสิงห์ มีใบหูแต่มีปากลักษณะคล้ายนกแก้ว

เรือย่าโขน ส่วนหางเป็นไม้แกะสลักลายไทย ขนาดของเรือย่าโขนนี้มีความกว้าง 1.60 เมตร ความยาว 14.50 เมตร (ไม้ตะเคียน)

พระที่คู่กับเรือย่าโขนมีอยู่ 2 องค์ องค์หนี่งอยู่ที่วัดหลวง ลักษณะเหมือนกันขนาดโตกว่า ชาวบ้านเรียกว่า “องค์พี่” องค์ที่อยู่วัดบางแพใต้เรียกว่า “องค์น้อง” (หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์)


  • ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว รวบรวมโดย นางสาวนภัสสรา บัวโรย

  • ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวนภัสสรา บัวโรย

  • อ้างอิง พระครูประสาทวรคุณ เจ้าอาวาสวัดบางแพใต้ และ https://www.facebook.com/วัดบางแพใต้



 









ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย TKP

 
Copyright © 2018 Thailand Knowledge Portal. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand