TKP HEADLINE

Showing posts with label (3)ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. Show all posts
Showing posts with label (3)ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. Show all posts

ขนมปั้นขลิบ

     

"ขนมปั้นขลิบ"  หรือ "ขนมปั้นสิบ"


จากเมนูกะหรี่ปั๊บที่คุ้นเคย กัดคำหนึ่งก็หกเลอะเทอะ แถมมีขั้นตอนการทำแป้งยุ่งยาก ลองเปลี่ยนไอเดียมาทำขนมปั้นขลิบหรือขนมปั้นสิบ ชิ้นพอดีคำ ทำง่ายกว่าเยอะ  6 เมนูปั้นขลิบ ได้แก่ ปั้นขนมดี นั่นก็คือ  "ขนมปั้นขลิบ"  หรือ "ขนมปั้นสิบ"  ที่เหมือนกะหรี่ปั๊บตัวเล็ก ๆ แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ขนมชิ้นเล็ก ๆ นี้ ทำไมบางคนถึงเรียกกันว่า ปั้นขลิบ  แต่บางคนก็กลับเรียกว่า ปั้นสิบ แท้จริงแล้ว ขนมชนิดนี้เขาเรียกว่าอะไรกันแน่? 

ปั้นสิบ หรือ ปั้นขลิบ เป็นอาหารว่างไทยชนิดหนึ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ รูปร่างคล้ายกะหรี่ปั๊บแต่ต่างกันที่ตัวเล็กกว่า และไม่มีลวดลายเป็นชั้น ๆ ไส้ที่นิยมมีอยู่ 2 ไส้ คือ ไส้หมู และไส้ปลา มีขนาดพอดีคำ แป้งจะกรอบแข็งมากกว่ากะหรี่ปั๊บ นิยมกินคู่กับน้ำชาหรือชาสมุนไพร 

สูตร ขนมปั้นสิบ หยิบกินสะดวกชิ้นพอดีคำ

ส่วนผสม
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
รากผักชีซอย 2 ช้อนโต๊ะ
เนื้อปลากะพงบด 500 กรัม
น้ำเปล่า 1 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/2 ช้อนชา
หอมเจียว 200 กรัม
ถั่วลิสงคั่วป่น 100 กรัม
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม
น้ำ 100 กรัม
น้ำมันพืช 100 กรัม

วิธีทำ

1. ตั้งกระทะใส่น้ำพืชเล็กน้อย ใส่รากผักชีซอยลงไปผัดให้หอม แล้วตามด้วยเนื้อปลากะพงบด ผัดจนเนื้อปลาสุก
2. ใส่น้ำเปล่า น้ำตาลทราย เกลือ และหอมเจียว ผัดให้เข้ากัน จากนั้นก็ใส่ถั่วลิสงคั่วป่นเป็นลำดับสุดท้าย ผัดจนตัวขนมเหนียว จับตัวกันเป็นก้อน เสร็จแล้วก็ตักใส่จานแล้ววางพักไว้
3. นำแป้งสาลีมานวดกับน้ำเปล่าและน้ำมันพืช นวดให้เข้ากันแล้วห่อแป้งด้วยแรปห่ออาหาร วางทิ้งไว้ 30 นาที
4. เมื่อครบเวลาแล้ว หยิบแป้งขึ้นมาประมาณ 1 นิ้ว ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วนำมาคลึงให้แบน
5. วางขนมไว้ตรงกลางแล้วนำแป้งมาประกบกัน เสร็จก็จับจีบให้สวยงาม
6. ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ท่วม รอน้ำมันร้อนแล้วก็นำขนมลงไปทอดให้เหลืองกรอบ
7. นำขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันแล้วจัดเรียงใส่จานหรือใส่ห่อน่ารัก ๆ เอาไปวางขายก็ได้นะคะ



ข้าวฮางกุดรัง

 ข้าวฮางกุดรัง

กลุ่มข้าวฮางกุดรัง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม ผลิตและจำหน่ายข้าวฮาง ข้าวกล้อง เมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวดำพันธุ์ลืมผัว และพันธุ์ข้าวเจ้ามะลิดำ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มข้าวฮางกุดรัง รหัสทะเบียน 4-44-12-01/1-0022 ที่อยู่ 141 หมู่ที่ 1 ตำบลกุดรัง อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม 44130 นอกจากกลุ่มได้นำผลผลิตข้าวเปลือกจากชุมชนไปแปรรูปเป็นข้าวฮาง ตามแบบฉบับดั้งเดิมที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาพื้นบ้าน ที่รู้จักกันในชื่อข้าวฮางกุดรัง ข้าวเพื่อสุขภาพ ได้รับการคัดสรรเป็นโอท็อป 5 ดาว ซึ่งมีทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวพันธุ์ไรซ์เบอรี่ ข้าวหอมนิล ข้าวเจ้ามะลิแดง ข้าวเจ้ามะลิดำ และข้าวเหนียวดำพันธุ์ลืมผัว ซึ่งมีการบรรจุภัณฑ์ด้วยระบบสูญญากาศตามขั้นตอน ก่อนส่งขายตามวิถีตลาดแล้ว กลุ่มยังได้รวบรวมเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวดำพันธุ์ลืมผัวที่ผ่านตามกระบวนการผลิตเมล็ดพันธุ์ไว้จำหน่าย กว่า 50 ตัน และพันธุ์ข้าวเจ้ามะลิดำในราคาต้นทุนเพื่อให้สมาชิกและผู้สนใจนำไปปลูกข้าวกลุ่มข้าวสีม่วงดำ โดยใช้การตลาดนำการผลิตซึ่งข้าวเหนียวดำพันธุ์ลืมผัวเป็นหนึ่งในกลุ่มข้าวสีม่วงดำที่จะส่งเสริม ตามข้อมูลสำนักวิจัยและพัฒนาข้าวระบุว่าข้าวพันธุ์นี้เป็นข้าวที่มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีม่วงดำ หรือที่เรียกกันว่า “ข้าวเหนียวดำ” เป็นข้าวเหนียวที่มีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย เมื่อเคี้ยวจะรู้สึกมันและนุ่มแบบหนุบ ๆ เนื่องจากเป็นข้าวกล้องที่ยังไม่ได้ผ่านการขัดสี ด้วยรสชาติที่อร่อย ผลผลิตสูงสุดเมื่อปลูกในสภาพไร่และฟ้าอากาศ ที่เหมาะสม ได้ 490 กิโลกรัม/ไร่ เมื่อนำมาปลูกในพื้นราบ ผลผลิตที่ได้อยู่ระหว่าง 200-350 กิโลกรัม/ไร่ 

ประโยชน์ของสารกาบ้าจากข้าวฮางงอก
สาร กาบ้า (GABA) หรือ Gamma Amino Butyric Acid ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารสื่อประเภท (neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลางและเป็นสารสื่อประสาทประเภทสารยับยั้ง (inhibitor) โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองที่ได้รับการกระตุ้น ซึ่งช่วยทำให้สมองเกิดการผ่อนคลายและนอนหลับสบาย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ anterior pituitary ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (high) ให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการกระชับและเกิดสารป้องกันไขมัน ที่ชื่อ lipotropic ในวงการแพทย์มีการนำสารกาบ้ามาใช้ในการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่าง ๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น สารกาบ้ายังมีผลกระตุ้นฮอร์โมน ทำให้ระดับฮอร์โมนมีสม่ำเสมอ ช่วยชะลอความแก่ และขับเอ็นไซม์ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ควบคุมระดับน้ำตาลและพลาสมา คอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ให้เลือดไหลหมุนเวียนดีและลดความดันเลือดลง กระตุ้นการขับถ่ายน้ำดีสู่ลำไส้เพื่อสลายไขมัน ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้และช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย


คุณค่าทางโภชนาการของข้าวฮางงอก   
เนื่องจากอุดมด้วยคุณค่า วิตามินบี 1 บี 2 ไนอะซิน ธาตุเหล็ก แคลเซียม (GABA : Gamma Amino Butyric Acid) ช่วยลดความดันโลหิตและปริมาณคอเลสเตอรอล มีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักและลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคอัลไซเมอร์ อีกทั้งมีธาตุแมงกานีสในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง นอกจากนั้น ข้าวฮางงอกมีค่าการเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้ในการควบคุมระบบประสาท รวมทั้งกล้ามเนื้อ นอกจากนั้น จากกรรมวิธีผลิตข้าวฮางงอกทำให้ได้ข้าวเต็มเมล็ดที่มีจมูกข้าวและรำข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ รวมกว่า 20 ชนิด อีกทั้งข้าวฮางมีเส้นใยอาหารปริมาณสูง ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย จุดเด่นของข้าวฮางงอกที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ แล้ว จะมีลักษณะพิเศษนิ่มอร่อยใกล้เคียงข้าวขาว 

อ้างอิง : กศน.ตำบลกุดรัง
ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอกุดรัง
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดมหาสารคาม


ข้าวเกรียบงายอดแก้ว

 

ข้าวเกรียบงายอดแก้ว



ข้าวเกรียบงาชุมชนยอดแก้ว เป็นของกินทําด้วยแป้งข้าวจ้าวผสมหัวกะทิโรยด้วยงาดำ เป็นแผ่นตาก ให้แห้ง แล้วนำมาปิ้ง มีหลายชนิดซึ่งแล้วแต่ผสมเข้าไป ตามต้นตำหรับของแต่ละสูตร เช่น ข้าวเกรียบว่าว ข้าวเกรียบโป่ง ข้าวเกรียบกุ้ง เป็นต้น แต่ข้าวเกรียบงาชุมชนยอดแก้วที่จังหวัดหนองคายนั้นไม่เหมือนใคร ซึ่งต้นตำหรับมาจากประเทศเวียดนาม ซึ่งเจ้าของเดิมได้ถ่ายทอดสูตรให้กับลูกหลานมาเป็นทอด ๆ และได้ปรับปรุงสูตรข้าวเกรียบงาที่ทำเองทั้งส่วนผสมของวัตถุดิบจนลงตัว ไม่มีน้ำตาล ข้าวเกรียบงาทำมาจากข้าวเจ้าอย่างดีที่โม่จนได้เป็นตัวแป้งสีขาวหอม หัวกะทิสด เกลือผสมกับงาดำ งาต้องนำไปล้างให้สะอาดและนำไปผึ่งให้แห้ง จากนั้นจึงนำแป้งข้าวเจ้าผสมหัวกะทิ ใส่เกลือนิดหน่อยคนส่วนผสมให้เข้ากัน นำไปขึ้นแผ่นวงกลมโดยการนึ่ง โรยหน้าด้วยงาดำ ไล้บนผ้าขาวบางเหมือนข้าวเกรียบปากหม้อ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 15 เซนติเมตร นำแผ่นข้าวเกรียบที่ได้ใส่ตะแกงแล้วนำไปตากแดด

ส่วนผสม

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่เราต้องใช้ก็จะมีข้าวจ้าว 1 กิโลกรัม หัวกะทิ 1 กิโลกรัม เกลือป่น 1 ขีด งาขาวหรือดำ 1 ขีด ถังสแตนเลส 1 ใบ หม้อนึ่งสำหรับใส่น้ำ 1 ใบ ผ้าขาวบาง 1 ผืน ฝาครอบ 1 อัน ไม้ไผ่สำหรับแซะข้าวเกรียบ 1 อัน ไม้พายสำหรับม้วนข้าวเกรียบ 1ท่อน

ขั้นตอนการทำ

1. นำข้าวจ้าวที่เราโม่จนได้เป็นตัวแป้ง หัวกะทิ เกลือ ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน 2. คนส่วนผสมทุกอย่างให้แป้งละลายจนเข้ากันดี ​ 3. นำหม้อนึ่งใส่น้ำ ขึงผ้าขาวบางด้านบนปากหม้อขึงให้ตึง ต้มจนน้ำเดือดให้เกิดไอน้ำ 4. จากนั้นนำแป้งมาละเลงบนเตา ที่ใช้ผ้าขาวบางกรุอยู่บนปากหม้อที่ตั้งอยู่บนหม้อน้ำที่เดือดได้ที่ เมื่อละเลงแป้งเป็นแผ่นแล้ว โรยด้วยงาดำที่ได้ทำการล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง โรยลงไปในแผ่นแป้งให้ทั่ว ก็ปิดฝาไว้ ประมาณ 30 วินาที (พอข้าวเกรียบสุกซึ่งสังเกตได้จาการที่ข้าวเกรียบแข็งตัวเป็นแผ่น)

5. ก็จะใช้ไม้พาย แซะแผ่นแป้งออกจากผ้าขาวบาง โดยม้วนแผ่นแป้งให้กลม วางไว้ในตะแกง แล้วนำไปตากแดด ประมาณ 30 นาที แล้วกลับอีกด้านตากอีกประมาณ 30 นาที
6. นำแผ่นข้าวเกรียบงาที่แห้งสนิทขึ้นย่างเตาถ่านด้วยไฟแรง ๆ ใช้พายประคองแผ่นข้าวเกรียบ คอยกลับเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้แผ่นข้าวเกรียบไหม้ 7. เมื่อข้าวเกรียบสุกได้ที่แล้วจะมีสีน้ำตาลอ่อน แล้วนำแผ่นข้าวเกรียบค่อยๆวางลงในตะกร้า เพราะข้าวเกรียบงาจะมีความกรอบเป็นอย่างมาก 8. นำแผ่นข้าวเกรียบงาที่เย็นแล้วมาแพ็คใส่ถุงพลาสติกขยายข้าง เรียงเป็นแผ่น ๆ จำนวน 4 แผ่น จัดความสวยงาม แล้วพับถุงปิดพร้อมติดชื่อสินค้า เย็บปิดถือว่าเสร็จเรียบร้อยพร้อมส่งลูกค้า




อังแกบบอบ

 “กบแปรงไส้ย่าง” “อั้วกบ” หรือ “อังแกบบอบ”


“กบแปรงไส้ย่าง” “อั่วกบ” หรือ “อังแกบบอบ” ชื่อเรียกภาษาท้องถิ่นชาวสุรินทร์ โดยนำกบนาที่ตากไว้ให้รสชาติดีกว่ากบเลี้ยงทั่วไป ลอกหนังตัดหัวและขาควักเครื่องในออก นำมาสับผสมคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงใบกะเพราตะไคร้พริก กระเทียมหอมแดง พริกไทย เครื่องต่าง ๆ ที่จำเป็นแล้วนำมาล้างลำไส้ มีรสชาติหอมอร่อยจากเครื่องปรุงพืชสมุนไพรอย่าลืมหรือต้องใช้กบผสมไส้ไปตากแดดให้แห้ง ๆ "หรือกบบดไส้ก็จะต้องใช้เมนูพื้นบ้านแบบย่าง ส่วนผสมตามวัตถุดิบหลักคือกบจะทำให้ดีที่สุด กบนารสดีกว่ากบเลี้ยง

วิธีทำ

  1. ลอกหนังกบออก ตัดหัว และ ขาทั้งสี่ ล้วงเอาเครื่องในกบออก

  2. ตัดนิ้วตีนกบทิ้ง ตัดลำไส้ดำและกระเพาะปลากบทิ้ง ตัดหัวและหนังกบทิ้งไป

  3. นำเนื้อขากบและเครื่องในส่วนที่เหลือสับให้แหลกคลุกเคล้าผสมกัน

  4. โขลกเครื่องปรุง เกลือ กระเทียม กระเพรา กระชาย และใบมะกรูด

  5. นำเครื่องปรุงและเนื้อขาเครื่องในกบที่สับละเอียดผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วจะทำให้ต้องใส่กบในตัว

  6. นำกบที่มัดไส้แล้วแพลงด้วยบรรจุภัณฑ์นำไปย่างในไฟอ่อนแบมจนสุกแล้ว

7. นำกะทิมา บดพริกแห้งป่นละเอียด ทาบนตัวกบนำมาย่าง




ไก่ย่างพังโคน

 ไก่ย่างพังโคน

ไก่ย่างพังโคนเป็นสิ่งที่น่าจดจำสำหรับสถานการณ์ของคนพังโคนในการประกอบอาหารพื้นบ้านทำง่ายขายคล่อง สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารแผงลอย ต้นทุนต่ำมาก กำไรพออยู่ได้กินได้กับทุกเพศทุกวัย กินกับข้าวเหนียว อร่อยราคาตัวละ 60 -80 บาท สำหรับเป็นของฝากและกินที่อำเภอพังโคน


ไก่ย่างพื้นเมืองซึ่งมีความสำคัญเป็นหลักสำคัญยิ่งที่จะต้องรับประทานกับข้าวเหนียวนึ่งจะง่ายต่อการพกพาและรับประทาน พังโคนยินดีต้อนรับผู้เดินทางไกลผ่านพังโคนทุกเมื่อเชื่อวัน


อย่าลืม ไก่ย่างทุกคนพังโคนได้ พัฒนาขอมีสูตรเฉพาะไก่พื้นเมืองตามเวลาสดสะอาดขนาดพอดีกับถ่านที่ใช้ย่างไก่ ไก่ย่างที่สุกพอดีไม่สุก ๆ ดิบ ๆ หรือสุกจนไหม้เกรียม ชาวบ้านพังโคนขายไก่ย่างตั้งแต่เป็นร้านค้าแผงลอย จนเป็นที่รู้จักทั่วไปว่า “พังโคนต้องมีไก่ย่าง” หรือ “ไก่ย่างดีต้องที่พังโคน”

ไก่ย่างเขาเรียงแถวของอำเภอพังโคน




ไก่ย่างพังโคน

ทุเรียนภูเขาไฟ ไร่สร้างฝัน

 ทุเรียนภูเขาไฟ ไร่สร้างฝัน

อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ

“ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ” คือ ทุเรียนที่ปลูกในบริเวณพื้นที่ภูเขาไฟโบราณ แถบเทือกเขาพนมดงรัก (อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอขุนหาญ และอำเภอศรีรัตนะ) ซึ่งเป็นดินที่ผุพังมาจากหินบะซอลต์ ดินจึงมีลักษณะเหนียวสีแดง ระบายน้ำดีมาก มีธาตุอาหารชนิดต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อพืชในปริมาณสูง และเกษตรกรใช้น้ำใต้ดินที่มีความลึกมากกว่า 50-100 เมตร ในการให้น้ำผลไม้ จึงส่งผลให้ได้รับแร่ธาตุครบถ้วน ผลผลิตที่ได้มีรสชาติดี นอกจากนั้นด้วยลักษณะสภาพภูมิอากาศของจังหวัดที่ไม่ชื้นจนเกินไป แสงแดดที่มีความเข้มแสงสูง และพืชได้รับแสงต่อวันที่ยาวนาน ทุเรียนจึงดูดธาตุอาหารจากดินมาช่วยสังเคราะห์แสงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเนื้อทุเรียนที่ได้ จึงอุดมไปด้วย ธาตุอาหาร และวิตามินที่เป็นประโยชน์ ต่อสุขภาพ เกิดเป็นทุเรียนที่มีคุณสมบัติเฉพาะ กล่าวคือ เนื้อทุเรียนแห้งและนุ่มเหนียว เส้นใยละเอียด มีกลิ่นหอมเฉพาะ ไม่ฉุนมาก รสชาติมันค่อนข้างหวาน ซึ่งตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทุเรียนทั้งภายในและต่างประเทศ จึงอาจกล่าวได้ว่า “ทุเรียนศรีสะเกษ เป็นทุเรียนที่อร่อยที่สุด แห่งหนึ่งของประเทศไทย” ไร่สร้างฝัน มีเจ้าของสวนชื่อ นายชูเกียรติ ยวนพันธ์ เป็นเกษตรกรชาวอำเภอศรีรัตนะ ตำบลศรีแก้ว อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ



นอกจากเป็นที่รู้จักกันในนามไร่สร้างฝันนั้นก็สามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่าบ้านสวนวิ
ลาวัลย์ ทุเรียนภูเขาไฟดินแดนสามศรี 
(สามศรี คือ ศรีแก้ว ศรีรัตนะ และศรีสะเกษ) ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ จะมีให้รับประทานได้ในช่วงเดือนมิถุนายน ถึง สิงหาคม แต่หากอยากได้อรรถรส ต้องเดินทางมาท่องเที่ยวพื้นที่สวน ภายใต้สโลแกน คือ ทุเรียนภูเขาไฟของแท้ ต้องกินใต้ต้น ไร่สร้างฝันนอกจากกจะเป็นที่รู้จักการในชุมชน และอำเภอใกล้เคียงแล้วนั้น ยังเป็นสถานที่ในการต้อนรับแขกจากต่างจังหวัดและผู้ศึกษาดูงานมากมายหลายที่ ตลอดจนเป็นพื้นที่สำหรับแถลงข่าว งานเทศกาลทุเรียนภูเขาไฟ ศรีสะเกษ ประจำปี 2565 ” LAVA Durian SISAKET 2022 โดย นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นผู้แถวงข่าวร่วมกับนายภัทรนันท์ บุญมานัด นายอำเภอศรีรัตนะ เนื่องจากทุเรียนภูเขาไฟของไร่สร้างฝันเป็นหนึ่งในทุเรียนที่ได้รับรองมาตรฐาน GI ซึ่งรสชาติเอกลักษณ์เฉพาะตัว กรอบนอก นุ่มใน หวานน้อย ละมุนลิ้น กลิ่นไม่ฉุน เป็นที่ถูกใจของคนทั่วโลก ที่อยากชิม กินแล้วกินอีก จนต้องตามไปชิมถึงสวน และไร่สร้างฝันก็เป็นแห่งหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยงที่ชอบทานทุเรียนได้อีกด้วย


ตำแหน่งที่ตั้ง : บ้านเลขที่ 41 หมู่ที่ 9 ตำบลศรีแก้ว อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ 33240




น้ำพริกปลาร้าทรงเครื่อง

 


กลุ่มแม่บ้าน บ้านน้อย หมู่ที่ 10 ตำบลกู่สวนแตง อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ กิจกรรมลดรายจ่าย ปลูกผักปลอดสารพิษ และกิจกรรมเพิ่มรายได้ ทำน้ำพริกปลาร้าทรงเครื่อง ศาลาประชาคมบ้านน้อย

ปลาร้า เป็นอาหารคู่ครัวไทยมาช้านาน มีเสียงบอกเล่าว่า ถ้าปลาร้าทำด้วยปลากระดี่หมักด้วยเกลืออย่างดีจะได้กลิ่นหอมรสชาติกลมกล่อมอร่อย ปลาร้านำมาปรุงรสเป็นอาหารได้หลายรูปแบบ ที่น่าสนใจคือปลาร้าทรงเครื่องสับผัดสุก และจัดผักเป็นเครื่องเคียงก็จะได้ลิ้มรสแซ่บไม่รู้ลืมในสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองการทำปลาร้าสับผัดสุกบริโภคในครัวเรือนหรือทำในเชิงการค้าก็เป็นทางเลือกเพื่อการยังชีพแบบพอเพียง สู่ความมั่นคงและยั่งยืน

ส่วนผสมสำหรับทำ น้ำพริกปลาร้าทรงเครื่อง
            ปลาร้า (ควรเลือกเอาที่หมัก ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี เพราะเนื้อปลายังเยอะ)
            1. พริกป่น (ต้องคั่วและป่นใหม่ๆ)
            2. ข้าวคั่วหอม ๆ
            3. น้ำมะขาม
            4. น้ำตาล
            5. น้ำมันหอย
            6. หัวหอม ตะไคร้ ใบมะกูด กระเทียม
            7. น้ำมันพืช

ขั้นตอนการทำ น้ำพริกปลาร้าทรงเครื่อง
นำปลาร้าไปสับละเอียดนำ หัวหอม ตะไคร้ ใบมะกูด กระเทียม ไปคั่วให้หอม แล้วโขลกละเอียดนำปลาร้า ลงครก ตามด้วย พริกป่น ข้าวค่ัว และ หัวหอม ตะไคร้ ใบมะกูด กระเทียม ไปคั่วให้หอม ที่โขลกละเอียดแล้ว โขลกให้เข้ากันนำกะทะตั้งไฟให้ร้อน ตามด้วยน้ำมันพืช แล้วนำปลาร้าที่ปรุงโขลกผสมเครื่องแล้ว ลงกะทะ แล้วตามด้วยน้ำมะขาม น้ำมันหอย และน้ำตาลใส่ตามความชอบ เพราะเราไม่ใส่ชูรส ผัดให้เข้ากันให้หอมทานกับผักสด ผักลวกตามต้องการ



อ้างอิงข้อมูล : นางสาวภัทรวรินทร์ บัวนาค
กศน.ตำบลกู่สวนแตง  หมู่ที่ 8 วัดบ้านหนองเรือ  ตำบล กู่สวนแตง อำเภอ บ้านใหม่ไชยพจน์ บุรีรัมย์ 31120


แก่งคันสูง ท่องเที่ยวริมฝั่งแม่น้ำโขง แห่งเมืองชานุมาน

 

แก่งคันสูง ท่องเที่ยวริมฝั่งแม่น้ำโขง
แห่งเมืองชานุมาน


แก่งคันสูง ตั้งอยู่บริเวณตำบลโคกสาร อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ สถานที่ท่องเที่ยวริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้วยภูมิทัศน์โดยรอบที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ชมแก่งกลางลำน้ำที่ใสสวยงามในลำน้ำโขง แก่งคันสูงจะเป็นหินกว้างที่กั้นขวางเรียงตัวกันในบริเวณลำน้ำโขง โดยฝั่งตรงข้ามเป็น สปป.ลาว ในช่วงฤดูน้ำลด เดือน เมษายน ของทุกปี สามารถมองเห็นเกาะแก่งกลางน้ำได้ จุดขายของการมาเที่ยวแก่งสูง คือ การได้นั่งทานอาหารในแพลอยน้ำกลางแม่น้ำโขง ร้านอาหารมีให้เลือกได้หลากหลายโดย จุดเด่นแต่ละร้านจะมีธงสีประจำร้านไว้เพื่อบริการนักท่องเที่ยวริมแก่ง อาหารขึ้นชื่อส่วนใหญ่เป็นเมนูอาหารอีสาน รวมทั้งเมนูปลาน้ำโขง นักท่องเที่ยวสามารถมาชมความสวยจากธรรมชาติริมแม่น้ำโขงแวะมาเก็บบรรยากาศ ถ่ายภาพที่จุดชมวิวได้เลย


“วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว” (วัดล้านขวด)

 “วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว” (วัดล้านขวด) 


“วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว” (วัดล้านขวด) ตั้งอยู่ที่ ต.สิ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ การเดินทางจากศรีสะเกษไปอำเภอขุนหาญใช้ทางหลวงหมายเลข 211 และ 2111 ผ่านอำเภอพยุห์ อำเภอไพรบึงไปขุนหาญ ระยะทางประมาณ 61 กิโลเมตร วัดแห่งนี้สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2527 ขวดทั้งหมดที่นำมาสร้างสิ่งต่าง ๆ ในวัดมีจำนวนมากถึง 1,500,000 ขวด เริ่มตั้งแต่ทางเข้าวัดทั้งกำแพงซุ้ม ประตูโบสถ์ ศาลา หอระฆัง กุฏิ เมรุ หรือแม้แต่ห้องน้ำ ก็ยังถูกตบแต่งด้วยขวดเช่นกัน นอกจากความงดงามของสิ่งก่อสร้างจากขวด ยังมีภาพพุทธประวัติที่นำฝาขวดมาปะ ๆ ต่อ ๆ กันจนได้ภาพที่น่าชื่นชม ชวนให้ผู้คนต้องเหลียวมอง ความงามจากขวดทั้งหมดเป็นความคิดของท่านพระครูวิเวกธรรมาจารย์ หรือหลวงปู่หลอด ที่ชาวบ้านเรียกกัน ท่านกล่าวว่าการใช้ขวดนอกจากจะประหยัดแล้ว ยังมีแง่คิดแฝงเป็นนัยว่า ขวดนั้นใสยามเมื่อกระทบแสงแดดจะเปล่งประกาย ดุจแสงธรรมที่เจิดจรัส นั่นเอง

สำหรับไฮไลท์ของที่วัดล้านขวดแห่งนี้ก็คือ “สิมกลางน้ำ” หรือว่า "โบสถ์กลางน้ำ" นั่นเอง เป็นทรงจตุรมุขที่สวยงามโดดเด่นอยู่กลางสระน้ำ โบสถ์ทั้งหลังนี้ถูกประดับด้วยขวดหลากชนิดและหลายสีสัน โดยจะเน้นขวดสีเขียวและสีน้ำตาลเป็นหลัก ทั้งหลังคา เสา กำแพงด้านในและด้านนอก พื้นทางเดิน


รอบ ๆ สิมจะมีทางเดินได้รอบ ซึ่งบริเวณกำแพงด้านข้างจะมีบานหน้าต่างกระจกใสมีภาพพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ด้านละ 3 บาน โดยการนำขวดมาตกแต่งนอกจากจะได้ในเรื่องความสวยงามและประหยัดแล้ว ยังแฝงไปด้วยปริศนาธรรมว่า “ขวดนั้นใสยาม เมื่อกระทบแสงแดดจะเปล่งประกาย ดุจแสงธรรมที่เจิดจรัส” อีกด้วย


ส่วนภายในสิมกลางน้ำจะเป็นที่ประดิษฐานของ “พระพุทธรูปหินหยกขาว” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดล้านขวด ซึ่งเป็นหินหยกขาวนำเข้ามาจากประเทศพม่า แกะสลักโดยช่าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย สวยงามโดดเด่นดูน่าเหลื่อมใสเป็นอย่างมาก

และในศาลาอเนกประสงค์ฐานสโมข้าง ๆ ด้านหน้าของสิมกลางน้ำซึ่งตกแต่งด้วยขวดล้านสีสันเช่นกัน จะเป็นที่ที่ชาวบ้านเข้ามาไหว้พระทำบุญ และมีพระนอนองค์ใหญ่ให้ได้สักการะบูชา โดยจีวรที่พระนอนห่มก็สร้างจากขวดสีน้ำตาล คลุมยาวตลอดทั้งองค์พระแทนการใช้ผ้าจีวร ดูโดดเด่นแปลกตา

นอกจากนั้นสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในวัดก็ยังคงสร้างจากขวดแก้ว ทั้งสถานที่ฌาปนกิจศพตามแบบพุทธศาสนา (เมรุ) ทางทิศใต้ของอุโบสถ ห้องน้ำ ซุ้มประตู หอระฆัง ฯลฯ เรียกว่าหากใครมาที่วัดแห่งนี้เป็นครั้งแรกต้องรู้สึกตื่นตาตื่นใจในความงดงามอลังการของวัดล้านขวดเป็นแน่แท้



ล่องแพตำบลดงสวรรค์






แพดงสวรรค์
ตำบลดงสวรรค์ แต่ก่อนขึ้นกับตำบลกุดดินจี่ เมื่อปี พ.ศ. 2524 ได้แยกการปกครองออกเป็นตำบลดงสวรรค์ ปัจจุบันเป็นตำบลที่อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอนากลาง ประกอบด้วย 9 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านดงสวรรค์ หมู่ที่ 2 บ้านพนาวัลย์ หมู่ที่ 3 บ้านสันติสุข หมู่ที่ 4 บ้านเกษมณี หมู่ที่ 5 บ้านโนนธาตุ หมู่ที่ 6 บ้านห้วยหาน หมู่ที่ 7 บ้านบนศรีวิไลย์ หมู่ที่ 8 บ้านโนนวิไล หมู่ที่ 9 บ้านสระแก้ว สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเนินเขา ที่อยู่ ตำบลดงสวรรค์ อำเภอนากลาง หนองบัวลำภู 39170 แหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวมาถึงต้องห้ามพลาด คือ ล่องแพดงสวรรค์ ล่องแพเล่นน้ำ บรรยากาศดี อาหารอร่อย แพดงสวรรค์เป็นการรวมกลุ่มกันของคนในพื้นที่ จะมีหลายร้านรวมตัวกันอยู่ที่นั่นให้ได้เลือก แต่ละร้านจะมีแพเป็นของตัวเอง 2-3 แพ แต่ละแพสามารถนั่งได้เป็น 10 คน ลักษณะแพแข็งแรงคงทน ราคาอาหารปานกลาง เช่น ส้มตำ ปลาเผา อาหารอีสานต่าง ๆ สามารถลงเล่นน้ำได้แต่ต้องสวมเสื้อชูชีพ หรือสำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น จะมีบริการให้เช่าด้วย




หมี่พิมาย

 

“คั่วหมี่พิมาย” มาพิมายต้องได้กิน
ชุมชน : อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา

ในทุกชุมชนของสังคมไทย สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของสังคม ชุมชนนั้น ๆ นอกจากจะเป็นประเพณี ศิลปวัฒนธรรมแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดี นั่นก็คืออาหารการกินของคนในชุมชนนั้น ๆ  อำเภอพิมาย  ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องอาหาร อำเภอพิมาย เป็นแหล่งปลูกข้าวที่มีคุณภาพ มีชื่อเสียง ประชาชนนิยมนำข้าวเจ้า มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า และสามารถทำเป็นอาชีพได้ นั่นก็คือ เส้นหมี่

หมี่พิมาย นั้นมีการผลิตขึ้นตั้งแต่สมัย ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นร้อยปี ที่ยึดถือเป็นอาชีพจวบจนปัจจุบัน ก็ยังมีคนสืบทอดอยู่ และยังเป็นที่นิยมในการบริโภคอยู่ โดยเฉพาะงานบุญ เช่น งานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ มี่พิมายยังคงเป็นอาหารที่เจ้าภาพต้องจัดปรุงขึ้นโต๊ะทุกงาน



หมี่พิมาย ทำจากข้าวเจ้า ซึ่งในอำเภอพิมาย มีการปลูกข้าวเจ้ามาก เพื่อเพิ่มความหลากหลายของอาหาร และเป็นการแปรรูปการถนอมอาหารอีกรูปแบบหนึ่ง จึงมีการดัดแปลงข้าวเจ้ามาเป็นเส้นหมี่ ด้วยการนำเส้นหมี่ไปตากแห้ง แล้วเก็บไว้รับประทาน 

ผัดหมี่โคราชนั้นจะใช้เส้นหมี่โคราชผัด หน้าตาจะคล้ายกับผัดไทย ผัดไทยนั้นใช้ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กในการผัด ส่วนผัดหมี่พิมาย หรือ คั่วหมี่ ปลาย่างเมืองพิมาย มีความแตกต่างจากผัดหมี่โคราช ที่ใช้เส้นหมี่ของกลุ่มแม่บ้านอำเภอพิมาย ซึ่งทำมาจากแป้งข้าวเจ้าล้วน ทำให้เส้นหมี่พิมายจะมีความเหนียวน้อยกว่าเส้นหมี่โคราชแต่จะมีข้อดี คือ จะผัดได้แห้งมากกว่าและน้ำปรุงรสแทรกเข้าไปในเส้นได้มากกว่า และมีการนำปลาย่างแกะเอาแต่เนื้อทอดให้เพิ่มความหอม ทำให้เพิ่มรสชาติให้มีความอร่อยลงตัวยิ่งขึ้น ผัดหมี่โคราชร้อน ๆ นิยมรับประทานเข้ากันกับส้มตำเผ็ด ๆ รสชาติอร่อยถูกใจ


ปัจจุบัน "หมี่พิมาย" พัฒนาเส้นหมี่ในรูปแบบ "กึ่งสำเร็จรูป" โดยนำเส้นหมี่ไปอบจนแห้งพร้อมผัด และมีน้ำปรุงรสสำเร็จรูปบรรจุในซอง ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ที่ต้องการทานผัดหมี่ ด้วยกรรมวิธีผัดง่าย ๆ ก็ได้ผัดหมี่พร้อมอร่อยได้ทุกที่ ทุกเวลา นับว่าเป็นสินค้าของฝากที่ใครมาเยือนเมืองพิมาย ต้องไม่พลาด ซื้อติดมือกลับบ้านไปด้วย




ข้อมูล เนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย : นายนัฐพล คู่พิมาย ครู กศน.ตำบลกระเบื้องใหญ่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ขอขอบคุณ ภาพถ่าย/ภาพประกอบ : เฟซบุ๊ก : หมี่พิมาย จันทร์ฉาย
https://www.rosalynth.com/

ข้อมูล TKP อ้างอิง  https://sites.google.com/view/nattapon304/home


ถนนคนเดินหนองคาย (ตลาดแคมของ)

 

ถนนคนเดินหนองคาย (ตลาดแคมของ)



ตลาดแคมของ ถนนคนเดินริมแม่โขงยามเย็นของจังหวัดหนองคาย เป็นสถานที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวและพักผ่อน มีสินค้ามากมายวางจำหน่าย โดยเฉพาะสินค้าพื้นเมืองท้องถิ่น อาหารหลากหลายเมนู ขนม เครื่องดื่มนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ผู้มาท่องเที่ยวได้สนุกสนาน ผ่อนคลาย อาทิ เวทีดนตรี ลานวัฒนธรรมเปิดให้มีการละเล่น เต้นรำ ลำ ฟ้อน ร้องเพลง



ถนนคนเดินของจังหวัดหนองคายแห่งนี้ เปิดทำการกันเมื่อช่วงปลายปี 55 ที่ผ่านมา ทุก ๆ วันเสาร์ช่วงเย็น ๆ ตั้งแต่ 4 โมงเย็น แผงค้าต่าง ๆ ก็เริ่มทยอยกันจัดข้าวของ บางวันอาจจะเริ่มกันช้าหน่อยถ้าแดดยังร้อนอยู่ กว่าร้านค้าจะเต็มพื้นที่ดีก็น่าจะช่วงซัก 6 โมงเย็นไปแล้วนั่นแหละ และบรรดาพ่อค้าแม่ขายก็จะปฏิบัติการค้าเรื่อยไปจนค่ำ ๆ ซัก 4 ทุ่มก็ได้เวลาแยกย้ายสลายตัวพอดี ถ้าใครเคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวหนองคายแล้ว น่าจะพอนึกภาพทางเดินเท้าเลียบแม่น้ำโขงได้ดี ร้านรวงแผงลอยจะตั้งหันหน้าออกสู่แม่น้ำโขงเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดระยะทางเดินราว ๆ 500 เมตร ช่วงหัวถนนบริเวณชุมชนวัดหายโศกจะเน้นหนักไปทางร้านขายอาหารนานาชนิด ทั้งของกินเล่น และกินแบบจริงจังให้อิ่มกันเป็นมื้อ ๆ ถัดไปก็เริ่มเป็นสินค้าทำมือ งานฝีมือท้องถิ่น ของที่ระลึกต่าง ๆ ไปจนถึงสินค้าตามสมัยนิยมที่รับมาจากที่อื่น


   กลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็น กลุ่มครอบครัว กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มนักเรียนนักศึกษา/เยาวชน/วัยรุ่น กลุ่มสตรี กลุ่มวิถีชีวิต/ชุมชน/เกษตร

กลุ่มครอบครัว ส่วนใหญ่มาท่องเที่ยวในลักษณะมาเป็นครอบครัวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ

กลุ่มผู้สูงอายุ จะเป็นในลักษณะการมาพบปะ พูดคุย การมาออกกำลังกาย ทำกิจกรรมร่วมกัน

กลุ่มวัยทำงาน เป็นกิจกรรมเดินจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าต่าง ๆ ในกลุ่มนี้เป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เรียกได้ว่าหารายได้เสริมในวันที่มีกิจกรรมถนนคนเดินเลยก็ว่าได้

กลุ่มนักเรียนนักศึกษา กิจกรรมส่วนใหญ่ก็จะเป็นการแสดงความสามารถในด้านต่าง ๆ เช่น การเต้น การขับร้อง ด้านศิลปวัฒนธรรม

กลุ่มสตรี ลักษณะจะเป็นการขับเคลื่อนกิจกรรมด้านสตรี พลังสตรีที่มีต่อสังคมและความเป็นอยู่อย่างยั่งยืน

กลุ่มวิถีชีวิต/ชุมชน/เกษตร เป็นการรวบรวมกิจกรรมต่างๆที่มีอยู่ในท้องถิ่น และชุมชน ทั้งในเรื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ วัฒนาธรรม ตลอดจนสิ้นค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ สู่รุ่นต่อรุ่น



วัดศรีคุณเมือง

 วัดศรีคุณเมือง

วัดศรีคุณเมือง เดิมชื่อ วัดใหญ่กลางเมือง หรือ วัดใหญ่ ข้อมูลจากหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม 11 ระบุว่า ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. 2199 โดยมีหัวครูบุตรดีเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ร่วมกันพระยาอุนุพินาก เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นำชาวบ้านสร้างวัดขึ้นพร้อมการตั้งบ้านเมือง จึงเป็นวัดเก่าแก่ชาวบ้านเรียกว่าวัดใหญ่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2220 การบริหารและการปกครอง มีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนาม คือ พระครูสิริกัลยาณวัตร ตั้งแต่ พ.ศ. 2531 เป็นต้นมาการศึกษามีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม เปิดสอน พ.ศ. 2480 ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เมื่อ พ.ศ. 2535


ที่ตั้ง
วัดศรีคุณเมือง ตั้งอยู่เลขที่ 375 บ้านเชียงคาน ถนนชายโขง หมู่ที่ 1 ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน    จังหวัดเลย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 12 ตารางวา โฉนด เลขที่ 329 อาณาเขตทิศเหนือประมาณ 2 เส้น 2 วา 2 ศอก จดถนนชายโขง ทิศใต้ประมาณ 2 เส้น 8 วา 2 ศอก จดที่ประชาชน ทิศตะวันออก ประมาณ 2 เส้น 10 วา 2 ศอก จดทางสาธารณประโยชน์ ทิศตะวันตก ประมาณ 2 เส้น 9 วา 1 ศอก จดทางสาธารณประโยชน์ มีที่ธรณีสงฆ์จำนวน 3 แปลง

อาคารเสนาสนะ   
อาคารเสนาสนะ ประกอบด้วย อุโบสถหรือสิม ศิลปะได้รับอิทธิพลจากลาว อาการก่ออิฐถือปูน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2380 

รูปแบบสิม
มีการตกแต่งที่สวยงามและวิจิตร มีประติมากรรมยักษ์สองตนและมอมเป็นสิงห์เฝ้าบันไดทางขึ้นสิม
รายละเอียดส่วนประดับ มีดังนี้
โหง่ สิมหลังนี้สร้างเป็นหลังคา ๒ ชั้นและช่อฟ้า  สีหน้าด้านหลังเป็นไม้แกะสลัก และสีหน้าด้านหน้า  ฮังผึ้ง อยู่ตรงทางเข้าสิมและแขนนางรูปพญานาค แกะสลักไม้  ยักษ์และมอมเป็นสิงห์เฝ้าบันไดทางขึ้นสิม  หน้าบันพระอุโบสถและลวดลายไม้งดงาม ภาพทั้งหมดเป็นภาพนิทานชาดกชุดพระเจ้าสิบชาติซึ่งวาดขึ้นใหม่แทนของเดิม ฝาผนังเขียนด้วยช่างสมัยโบราณเป็นศิลปะลาว 

ปูชนียวัตถุมีพระประธาน พระพุทธรูปยืนชนิดไม้ทาน้ำทอง ธรรมาสน์  ไม้สักแกะสลักลายประดับกระจกสี พระพุทธรูปไม้ ปางประทานพร หินศิลาจารึกพระพุทธรูปไม้จำหลัก ลงรักปิดทองปางประทานอภัยแบบล้านช้าง พระพุทธรูปดังกล่าวมีพระเกศาเป็นปุ่มแหลมเล็ก พระกรรณค่อนข้างแหลมและยาว สันนิษฐานว่ามีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 24–25   และพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์  และมีข้อสังเกตว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว การที่จะเข้ามาสักการะพระพุทธรูปไม้จำหลักนี้ จะทำได้เพียงการก้มกราบอยู่ตรงบริเวณด้านล่างของอาศนะสงฆ์เท่านั้น  บริเวณด้านข้างของพระประธานกันให้ดี ๆ เพราะจะมี "ฮางฮด"  หรือ "รางรด" ที่มีลักษณะคล้ายรางน้ำตั้งอยู่ โดยตัวรางจะเป็นรูปของเรือสุพรรณหงส์ ส่วนด้านหน้าจะเป็นเศียรของพญานาค และส่วนท้องค่อนมาทางหัวของพญานาคจะมีรูให้น้ำไหลลงมาได้ ฮางฮดนี้จะใช้ในการประกอบพิธีสรงน้ำพระผู้ใหญ่หรือเจ้าเมืองเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันหาดูได้ยากแล้ว           



อ้างอิง : ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเชียงคาน 
             สำนักงาน กศน.จังหวัดเลย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเชียงคาน

ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย TKP

 
Copyright © 2018 Thailand Knowledge Portal. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand