TKP HEADLINE

Showing posts with label 06.ศาสนสถาน. Show all posts
Showing posts with label 06.ศาสนสถาน. Show all posts

“วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว” (วัดล้านขวด)

 “วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว” (วัดล้านขวด) 


“วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว” (วัดล้านขวด) ตั้งอยู่ที่ ต.สิ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ การเดินทางจากศรีสะเกษไปอำเภอขุนหาญใช้ทางหลวงหมายเลข 211 และ 2111 ผ่านอำเภอพยุห์ อำเภอไพรบึงไปขุนหาญ ระยะทางประมาณ 61 กิโลเมตร วัดแห่งนี้สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2527 ขวดทั้งหมดที่นำมาสร้างสิ่งต่าง ๆ ในวัดมีจำนวนมากถึง 1,500,000 ขวด เริ่มตั้งแต่ทางเข้าวัดทั้งกำแพงซุ้ม ประตูโบสถ์ ศาลา หอระฆัง กุฏิ เมรุ หรือแม้แต่ห้องน้ำ ก็ยังถูกตบแต่งด้วยขวดเช่นกัน นอกจากความงดงามของสิ่งก่อสร้างจากขวด ยังมีภาพพุทธประวัติที่นำฝาขวดมาปะ ๆ ต่อ ๆ กันจนได้ภาพที่น่าชื่นชม ชวนให้ผู้คนต้องเหลียวมอง ความงามจากขวดทั้งหมดเป็นความคิดของท่านพระครูวิเวกธรรมาจารย์ หรือหลวงปู่หลอด ที่ชาวบ้านเรียกกัน ท่านกล่าวว่าการใช้ขวดนอกจากจะประหยัดแล้ว ยังมีแง่คิดแฝงเป็นนัยว่า ขวดนั้นใสยามเมื่อกระทบแสงแดดจะเปล่งประกาย ดุจแสงธรรมที่เจิดจรัส นั่นเอง

สำหรับไฮไลท์ของที่วัดล้านขวดแห่งนี้ก็คือ “สิมกลางน้ำ” หรือว่า "โบสถ์กลางน้ำ" นั่นเอง เป็นทรงจตุรมุขที่สวยงามโดดเด่นอยู่กลางสระน้ำ โบสถ์ทั้งหลังนี้ถูกประดับด้วยขวดหลากชนิดและหลายสีสัน โดยจะเน้นขวดสีเขียวและสีน้ำตาลเป็นหลัก ทั้งหลังคา เสา กำแพงด้านในและด้านนอก พื้นทางเดิน


รอบ ๆ สิมจะมีทางเดินได้รอบ ซึ่งบริเวณกำแพงด้านข้างจะมีบานหน้าต่างกระจกใสมีภาพพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ด้านละ 3 บาน โดยการนำขวดมาตกแต่งนอกจากจะได้ในเรื่องความสวยงามและประหยัดแล้ว ยังแฝงไปด้วยปริศนาธรรมว่า “ขวดนั้นใสยาม เมื่อกระทบแสงแดดจะเปล่งประกาย ดุจแสงธรรมที่เจิดจรัส” อีกด้วย


ส่วนภายในสิมกลางน้ำจะเป็นที่ประดิษฐานของ “พระพุทธรูปหินหยกขาว” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดล้านขวด ซึ่งเป็นหินหยกขาวนำเข้ามาจากประเทศพม่า แกะสลักโดยช่าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย สวยงามโดดเด่นดูน่าเหลื่อมใสเป็นอย่างมาก

และในศาลาอเนกประสงค์ฐานสโมข้าง ๆ ด้านหน้าของสิมกลางน้ำซึ่งตกแต่งด้วยขวดล้านสีสันเช่นกัน จะเป็นที่ที่ชาวบ้านเข้ามาไหว้พระทำบุญ และมีพระนอนองค์ใหญ่ให้ได้สักการะบูชา โดยจีวรที่พระนอนห่มก็สร้างจากขวดสีน้ำตาล คลุมยาวตลอดทั้งองค์พระแทนการใช้ผ้าจีวร ดูโดดเด่นแปลกตา

นอกจากนั้นสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในวัดก็ยังคงสร้างจากขวดแก้ว ทั้งสถานที่ฌาปนกิจศพตามแบบพุทธศาสนา (เมรุ) ทางทิศใต้ของอุโบสถ ห้องน้ำ ซุ้มประตู หอระฆัง ฯลฯ เรียกว่าหากใครมาที่วัดแห่งนี้เป็นครั้งแรกต้องรู้สึกตื่นตาตื่นใจในความงดงามอลังการของวัดล้านขวดเป็นแน่แท้



วัดศรีคุณเมือง

 วัดศรีคุณเมือง

วัดศรีคุณเมือง เดิมชื่อ วัดใหญ่กลางเมือง หรือ วัดใหญ่ ข้อมูลจากหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม 11 ระบุว่า ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. 2199 โดยมีหัวครูบุตรดีเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ร่วมกันพระยาอุนุพินาก เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นำชาวบ้านสร้างวัดขึ้นพร้อมการตั้งบ้านเมือง จึงเป็นวัดเก่าแก่ชาวบ้านเรียกว่าวัดใหญ่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2220 การบริหารและการปกครอง มีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนาม คือ พระครูสิริกัลยาณวัตร ตั้งแต่ พ.ศ. 2531 เป็นต้นมาการศึกษามีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม เปิดสอน พ.ศ. 2480 ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เมื่อ พ.ศ. 2535


ที่ตั้ง
วัดศรีคุณเมือง ตั้งอยู่เลขที่ 375 บ้านเชียงคาน ถนนชายโขง หมู่ที่ 1 ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน    จังหวัดเลย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 12 ตารางวา โฉนด เลขที่ 329 อาณาเขตทิศเหนือประมาณ 2 เส้น 2 วา 2 ศอก จดถนนชายโขง ทิศใต้ประมาณ 2 เส้น 8 วา 2 ศอก จดที่ประชาชน ทิศตะวันออก ประมาณ 2 เส้น 10 วา 2 ศอก จดทางสาธารณประโยชน์ ทิศตะวันตก ประมาณ 2 เส้น 9 วา 1 ศอก จดทางสาธารณประโยชน์ มีที่ธรณีสงฆ์จำนวน 3 แปลง

อาคารเสนาสนะ   
อาคารเสนาสนะ ประกอบด้วย อุโบสถหรือสิม ศิลปะได้รับอิทธิพลจากลาว อาการก่ออิฐถือปูน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2380 

รูปแบบสิม
มีการตกแต่งที่สวยงามและวิจิตร มีประติมากรรมยักษ์สองตนและมอมเป็นสิงห์เฝ้าบันไดทางขึ้นสิม
รายละเอียดส่วนประดับ มีดังนี้
โหง่ สิมหลังนี้สร้างเป็นหลังคา ๒ ชั้นและช่อฟ้า  สีหน้าด้านหลังเป็นไม้แกะสลัก และสีหน้าด้านหน้า  ฮังผึ้ง อยู่ตรงทางเข้าสิมและแขนนางรูปพญานาค แกะสลักไม้  ยักษ์และมอมเป็นสิงห์เฝ้าบันไดทางขึ้นสิม  หน้าบันพระอุโบสถและลวดลายไม้งดงาม ภาพทั้งหมดเป็นภาพนิทานชาดกชุดพระเจ้าสิบชาติซึ่งวาดขึ้นใหม่แทนของเดิม ฝาผนังเขียนด้วยช่างสมัยโบราณเป็นศิลปะลาว 

ปูชนียวัตถุมีพระประธาน พระพุทธรูปยืนชนิดไม้ทาน้ำทอง ธรรมาสน์  ไม้สักแกะสลักลายประดับกระจกสี พระพุทธรูปไม้ ปางประทานพร หินศิลาจารึกพระพุทธรูปไม้จำหลัก ลงรักปิดทองปางประทานอภัยแบบล้านช้าง พระพุทธรูปดังกล่าวมีพระเกศาเป็นปุ่มแหลมเล็ก พระกรรณค่อนข้างแหลมและยาว สันนิษฐานว่ามีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 24–25   และพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์  และมีข้อสังเกตว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว การที่จะเข้ามาสักการะพระพุทธรูปไม้จำหลักนี้ จะทำได้เพียงการก้มกราบอยู่ตรงบริเวณด้านล่างของอาศนะสงฆ์เท่านั้น  บริเวณด้านข้างของพระประธานกันให้ดี ๆ เพราะจะมี "ฮางฮด"  หรือ "รางรด" ที่มีลักษณะคล้ายรางน้ำตั้งอยู่ โดยตัวรางจะเป็นรูปของเรือสุพรรณหงส์ ส่วนด้านหน้าจะเป็นเศียรของพญานาค และส่วนท้องค่อนมาทางหัวของพญานาคจะมีรูให้น้ำไหลลงมาได้ ฮางฮดนี้จะใช้ในการประกอบพิธีสรงน้ำพระผู้ใหญ่หรือเจ้าเมืองเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันหาดูได้ยากแล้ว           



อ้างอิง : ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเชียงคาน 
             สำนักงาน กศน.จังหวัดเลย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเชียงคาน

วัดพระนอน หรือ วัดบางพลีใหญ่กลาง

                                     วัดพระนอน หรือ วัดบางพลีใหญ่กลาง


วัดบางพลีใหญ่กลาง สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2367 ชาวบ้านเรียกว่า “วัดกลาง” เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางระหว่างวัดบางพลีใหญ่ในกับวัดคงคาราม (วัดยายหนู) ซึ่งเป็นวัดสร้างเดิมที่ตั้งวัดเป็นที่ดินของนายช้างหมื่นราษฎร์ โดยนายน้อย หมื่นราษฎร์ พี่ชายเป็นผู้สร้างขึ้นและได้ขนานนามวัดว่า “วัดน้อยปทุมคงคา” เพราะได้ขุดสระปลูกบัวหลวงไว้ด้วย ต่อมาเปลี่ยนนามวัดใหม่ว่า “ วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม ” และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็น “วัดบางพลีใหญ่กลาง” โดยมิปรากฏแน่ชัดว่าเปลี่ยนในสมัยเจ้าอาวาสรูปใด วัดบางพลีใหญ่กลางได้รับพระราชทานวิสุคามสีมา เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2478 เขตวิสุคามสีมา กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร ในด้านการศึกษาทางวัดจัดให้มีการเรียนพระปริยัติธรรมตลอดมา นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนการศึกษาของชาติโดยให้ความร่วมมือกับทางราชการให้ที่วัดสร้างโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ปัจจุบันวัดบางพลีใหญ่กลางมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "วัดพระนอน"        




วัดหนองยาว

 

วัดหนองยาว


ประพรมน้ำพุทธมนต์เสาร์ ๕ น้ำมนต์เพ็ญ หรือจะบูชารูปหลวงพ่อหยกสีประจำวันเกิด สติกเกอร์หลวงพ่อหยกไว้ติดรถยนต์ ไม้มงคลศักดิ์สิทธิ์ (ล้มลุก) แคล้วคลาดปลอดภัย นกสาลิกา เมตตา-มหานิยม น้ำมันเลียงผา ยาหม่องทิพย์เกษรหรือจะทำบุญสร้างกุฏิสงฆ์ สร้างห้องสุขา สร้างวิหาร ซื้อที่ดิน สมทบทุนสร้างอุโบสถหรือจะบำรุง ค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้าตามกำลังศรัทธาหรือบริจาคเป็นทุนการศึกษา-อาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียนหรือเป็นอุปกรณ์การเรียน กีฬา ตลอดจนเสื้อผ้า (สีสันเด็ก ๆ เดาะบอลแก้บนหลวงพ่อหยกขาว) และที่หน้าวิหารหลวงพ่อหยก ครูต่อ ครูพละศึกษา โรงเรียนบ้านหนองยาว พาเด็ก ๆ นักกีฬาโรงเรียน ถือลูกบอล ลูกตะกร้อใส่พานพร้อมดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้หลวงพ่อหยกขาว ถามว่ามาทำอะไร พอไหว้อธิฐานเสร็จ เด็ก ๆ ก็เดาะบอล เดาะตะกร้อ ตามแต่ละคนถนัด เป็นการแก้บนของเด็ก ๆ ที่ตั้งใจมาถวายเครื่องกีฬาและเดาะบอลโชว์ เพราะรู้ว่าหลวงพ่อหยกขาวชอบกีฬา ที่ชาวบ้านมักมาบน พอประสบความสำเร็จก็จะนำของมาแก้บนพร้อมการละเล่น อุปกรณ์กีฬาชนิดต่าง ๆ มาถวาย ซึ่งเป็นกุศโลบายของท่านเจ้าอาวาส ที่ต้องการให้ผู้ปกครองสนับสนุนส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกาย สุขภาพแข็งแรงโดยการเล่นกีฬา ห่างไกลจากยาเสพติดและเกมพนันออนไลน์ ส่วนลูกฟุตบอล ลูกตะกร้อและอุปกรณ์กีฬาที่ชาวบ้านนำมาแก้บน ทางวัดก็จะนำไปส่งต่อมอบให้กับตามโรงเรียนต่าง ๆ ที่ขาดแคลน ทางด้านครูต่อ ศิริชัย อบแย้ม ได้เล่าให้ฟังว่า เนื่องจากที่ผ่านมาพระครูสุตาภิวัฒน์ หลวงพ่อเหวียง เจ้าอาวาสวัดหนองยาว ได้ช่วยเหลือสนับสนุนเงินส่วนหนึ่ง ที่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวมากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อหยกขาว ทั้งเรื่องขอให้มีบุตร ขอให้ลูก หลาน เลี้ยงง่าย สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย


การค้าขายเจริญรุ่งเรือง ส่วนนักเรียนนักศึกษาก็จะมาขอพรให้เรียนได้เกรดคะแนนดี ๆ หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ สำหรับข้าราชการก็จะมาขอพรเกี่ยวกับขอเลื่อนขั้น เลื่อนตำเหน่ง และขอโชคลาภ เมื่อขอพรความสำเร็จแล้ว ทุกคนที่มีผู้มีจิตศรัทราใจบุญจะทำบุญกับหลวงพ่อหยกขาวและนักบอลโรงเรียนบ้านหนองยาวก็มาขอพรและบนเดาะบอลคนละ 2 นาที 200 ครั้ง ก่อนจะไปแข่งขันฟุตบอลเยาวชนเงินล้านและติด 1 ใน 3 ประจำอำเภอด่านช้าง ได้ไปแข่งระดับจังหวัดต่อไป

ด้านพระครูสุตาภิวัฒน์ หลวงพ่อเหวียง เจ้าอาวาสวัดหนองยาว จึงได้นำเงินส่วนหนึ่ง นำไปซื้ออุปกรณ์กีฬา ทั้งลูกฟุตบอล ตะกร้อ วอลเลย์บอล และอุปกรณ์กีฬาอื่นอีกมากมาย นำไปมอบให้กับโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารและยังขาดแคลนอุปกรณ์กีฬา เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ส่งเสริมให้เยาวชนและนักเรียนที่ด้อยโอกาสไม่มีอุปกรณ์กีฬาได้เล่นฝึกซ้อมกีฬาต่าง ๆ เพื่อจะได้ให้เยาวชนตามโรงเรียนชนบท มีโอกาสได้พัฒนาฝึกซ้อมฝีมือการเล่นกีฬา จะได้พัฒนาในการเล่นกีฬาให้ก้าวไปสู่ระดับอาชีพต่อไปได้ และยังเป็นการสนับสนุนให้เยาวชนได้สนใจหันมาเล่นกีฬากันมากขึ้น จะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่ไปหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกม และยังให้ลูกหลานได้ห่างไกลยาเสพติดอีกด้วย


ตำแหน่งที่ตั้ง : อยู่ที่หมู่ที่ 2 ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
การเดินทาง : จากอำเภอด่านช้าง เส้นทางถนนด่านช้าง – บ้านไร่ ถึงแยกป้อมตำรวจวังคันเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 15 กิโลเมตร พบทางแยกเลี้ยวซ้ายตรงไปวัดหนองยาวประมาณ 10 กิโลเมตร

จัดทำโดย  นางสาวผกาวลีย์  บุญธรรม
กศน.ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง  จังหวัดสุพรรณบุรีจัดทำโดย  นางสาวผกาวลีย์  บุญธรรม
กศน.ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง  จังหวัดสุพรรณบุรี
จัดทำโดย  นางสาวผกาวลีย์  บุญธรรม
กศน.ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอด่านช้าง  จังหวัดสุพรรณบุรี






วัดบางแพใต้

 

ประวัติความเป็นมาของวัดบางแพใต้

วัดบางแพใต้ เดิมชื่อ “วัดช่องลมยางสูงวราราม” ตั้งอยู่เลขที่ 142 หมู่ที่ 3 ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ตามประวัติเป็นวัดเก่าแก่ก่อสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ปีพุทธศักราช 2350 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อพุทธศักราช 2440 มีอายุการก่อสร้างประมาณ 214 ปี สังกัดมหานิกาย ภาค 15

ลักษณะทางภูมิศาสตร์ วัดบางแพใต้ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบ กลางหมู่บ้านบางแพใต้ และมีชุมชนอื่น ๆ ล้อมรอบ มีถนนลำคลอง เส้นทางคมนาคมสัญจรสะดวกสบาย ห่างจากที่ว่าการอำเภอบางแพ ประมาณ 500 เมตร ที่สะดวกเดินทางโดยใช้รถยนต์ บริเวณวัดมีแมกไม้ยืนต้นให้ความร่มรื่น เย็นสบาย มีเนื้อที่ 32 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา มีอาณาเขตทิศเหนือยาว 156.80 เมตร จรดถนนซอยเข้าหมู่บ้าน ทิศใต้ยาว 148.55 เมตร จรดถนนเข้าหมู่บ้าน ทิศตะวันออกยาว 172.80 เมตร จรดลำคลองสาธารณะ ทิศตะวันตกยาว 175 เมตร จรดที่ตั้งโรงเรียนมัธยมและประถม

กลุ่มชุมชนและประชาชน โดยรอบวัดเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่นี้มาแต่โบราณ และสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีมาทางมรดก มีความเชื่อและศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของศาสนาพุทธมาอย่างเหนียวแน่นโดยมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ในทางศาสนาที่ประดิษฐานอย่างมั่นคงในวัดบางแพใต้

 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด

เรือย่าโขน

จากคำบอกเล่าดั้งเดิม เล่าว่าตั้งอยู่ที่วัดหลวง ตำบลวังเย็นคู่กับเรือมีระฆัง และพระโลหะเนื้อสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปยืนอุ้มบาตรสูง 80 เซนติเมตร ต่อมามีผู้นำเรือมาถวายวัดเหนือ ตอนหลังวัดเหนือร้างคณะกรรมการจึงนำมาถวายวัดบางแพใต้ คนเก่าแก่เล่าต่อมาว่า เรือย่าโขนมีประวัติเกี่ยวโยงมาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 ตอนยกทำไปรบกับพม่าที่บางแก้ว เดินทางผ่านบางแพได้ทิ้งเรือไว้ 1 ลำ ที่วัดหลวง

เรือย่าโขน ส่วนหัวเป็นไม้แกะสลักครึ่งสิงห์ครึ่งนกคาบดวงแก้ว จากลายแกะสลักคล้ายหน้าสิงห์ มีใบหูแต่มีปากลักษณะคล้ายนกแก้ว

เรือย่าโขน ส่วนหางเป็นไม้แกะสลักลายไทย ขนาดของเรือย่าโขนนี้มีความกว้าง 1.60 เมตร ความยาว 14.50 เมตร (ไม้ตะเคียน)

พระที่คู่กับเรือย่าโขนมีอยู่ 2 องค์ องค์หนี่งอยู่ที่วัดหลวง ลักษณะเหมือนกันขนาดโตกว่า ชาวบ้านเรียกว่า “องค์พี่” องค์ที่อยู่วัดบางแพใต้เรียกว่า “องค์น้อง” (หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์)


  • ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว รวบรวมโดย นางสาวนภัสสรา บัวโรย

  • ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวนภัสสรา บัวโรย

  • อ้างอิง พระครูประสาทวรคุณ เจ้าอาวาสวัดบางแพใต้ และ https://www.facebook.com/วัดบางแพใต้



 









วัดทิพย์อัปสรอมรอินทร์ รื่นรมย์ศิลป์ถิ่นล้านนา

 

วัดทิพย์อัปสรอมรอินทร์ ตั้งอยู่เลขที่ 307 หมู่ที่ 9 ตำบลหนองล่อง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน มีตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งพระนางจามเทวีผู้ครองนครหริภุญชัย ได้เสด็จทางเรือตามลำน้ำปิง เพื่อมาสำรวจพื้นที่อาณาเขตการปกครอง ครั้นมาถึงบริเวณชุมชนวังสะแกง มีคุ้งน้ำวนขนาดใหญ่ น้ำไหลเชี่ยวแรง เรือโคลงเคลง ทำให้ปาน (ฆ้อง) เชือกขาดตกน้ำบริเวณคุ้งน้ำวนดังกล่าว พระองค์จึงให้ทหารและชาวบ้านที่ดำน้ำเก่งลงไปหา แต่ก็ไม่พบเพราะบริเวณดังกล่าวมีลักษณะเป็นโขดหิน ลึก พระนางจึงเชื่อในญาณว่า เป็นบริเวณพื้นที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีพญานาคดูแล จึงรับสั่งให้มีการสร้างวัดไว้

 เมื่อ พ.ศ. 2436 มีการค้นพบวัดแห่งนี้มีการบูรณะและตั้งชื่อวัดว่า “วัดน้อยวังปาน” มีพระจันโต กาวิชโย หรือครูบากาวิชัย มาจำพรรษาและพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ต่อมาครูบาคำมูล วัดต้นผึ้ง ได้ส่งพระประยูรมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้และมีการเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดน้อยวังสะแกง” แต่ด้วยที่ตั้งของวัดอยู่ห่างไกลชุมชน ไม่มีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกทำให้ญาติธรรมไม่สะดวกมาทำบุญ เมื่อพระประยูรมรณภาพลง จึงไม่มีพระมาจำพรรษา จนกลายเป็นวัดร้างนับเป็นเวลาได้ 50 กว่าปี

เมื่อ พ.ศ. 2555 คุณพรทิพย์ ณ บางช้าง ภรรยา พลเรือเอก อมรเทพ ณ บางช้าง ได้มีโอกาสมาที่วัดร้างแห่งนี้ ได้พบกำแพงโบสถ์โบราณเพียงด้านเดียวและเจดีย์เก่าอีกหนึ่งองค์ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานที่ซากโบสถ์โบราณว่า “ถ้าหากจะมีโอกาสบูรณะวัดแห่งนี้ร่วมกับพลเรือเอก อมรเทพ ณ บางช้าง เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาต่อไป ขอให้ได้นำพลเรือเอก อมรเทพ ณ บางช้าง มาที่นี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ. 2554 พลเรือเอกอมรเทพ ณ บางช้าง ได้ปฏิบัติธรรมและเคยมีนิมิตให้สร้างวัดใหม่ในพื้นที่สี่เหลี่ยมคล้ายกับที่วัดร้างแห่งนี้” จนกระทั่งปี พ.ศ. 2556 พลเรือเอกอมรเทพ ณ บางช้าง ประธานโครงการบูรณะวัดทิพย์อัปสรอมรอินทร์ ได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดร้างนี้เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน จนเกิดพลังบันดาลใจอย่างแรงกล้าที่จะบูรณะวัดร้างแห่งนี้ให้เป็นวัดใหม่ตามที่ได้เคยนิมิตเห็น จึงได้รวบรวมศรัทธาบุญทำการบูรณปฏิสังขรณ์ โดยก่อสร้างอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ขึ้นใหม่ทั้งหมด จากที่ดินธรณีสงฆ์เดิมของวัดซึ่งเป็นที่รกร้าง 11 ไร่ 2 งาน 07 ตารางวา เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา และเพื่อเป็นศูนย์กลางสำคัญของการปฏิบัติธรรมตามพระพุทธศาสนาอีกแห่งหนึ่งในภาคเหนือ

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 10.39 น. ได้มีพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยพระธรรมมังคลาจารย์ (หลวงปู่ทอง สิริมงฺคโล) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อำเภอจอมทอง จังหวัดเขียงใหม่ ได้เมตตาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีพลเรือเอก อมรเทพ ณ บางช้าง และคุณพรทิพย์ ณ บางช้าง ภรรยา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10.09 น. ซึ่งเป็นวันมงคลตามตำรา พระธรรมมังคลาจารย์ (หลวงปู่ทอง สิริมงฺคโล) ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์การบูรณปฏิสังขรณ์วัดน้อยวังสะแกง


ต่อมาได้ดำเนินการขอยกฐานะจากวัดร้างขึ้นเป็นวัดที่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโดยความเห็นชอบของเถรสมาคม ได้ออกประกาศยกฐานะจากวัดร้างขึ้นเป็นวัดที่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559 มีพระใบฎีกาพิษณุ สุธมฺมธโร เป็นรักษาการเจ้าอาวาส จากนั้นพลเรือเอก อมรเทพ ณ บางช้าง ได้มีการรวบรวมผู้มีศรัทธาบุญร่วมกันซื้อที่ดินรอบวัดเพื่อถวายวัดจากธนาคารกรุงไทยจำกัด จำนวน 29 ไร่เศษ ทำให้ปัจจุบันวัดมีพื้นที่ทั้งสิ้น 40 ไร่เศษ


เนื่องจาก วัดน้อยวังสะแกง มีชื่อคล้ายกับวัดวังสะแกง (ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 3 บ้านวังสะแกง ตำบลหนองล่อง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน) ที่มีพื้นที่หมู่บ้านใกล้เคียงกัน ทำให้เกิดความสับสน จึงดำเนินการขอเปลี่ยนชื่อวัด โดยความเห็นชอบของเถรสมาคม ก็ได้ออกประกาศเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดทิพย์อัปสรอมรอินทร์” เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560

ปัจจุบันวัดทิพย์อัปสรอมรอินทร์มีพระอธิการสิขร จิตฺตสํวโร (เจ้าอาวาสวัดปทุมสราราม) ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษานับตั้งแต่ พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้เข้ามาไหว้พระทำบุญ ปฏิบัติธรรม สักการะรูปเหมือนพระแม่เจ้าจามเทวี และอนุสาวรีย์มหาราชเก้าพระองค์ รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ล้านนาอีกด้วย

     




พระบรมราชโองการของพระแม่เจ้าจามเทวี ในการสร้างวัดทิพย์อัปสรอมรอินทร์ตามนิมิตที่เกิดกับพลเรือเอก อมรเทพ ณ บางช้าง
1. วัดทิพย์อัปสรอมรอินทร์สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมที่สำคัญของหริภุญชัยและภาคเหนือ เพื่อประโยชน์ของพุทธศาสนิกชนและผู้มีจิตศรัทธาทั้งปวง โดยต้องสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี นับจากวันที่เริ่มดำเนินการก่อสร้างและให้ใช้ปัจจัยจากศรัทธาเท่านั้น
2. หลังจากพิธีสมโภชวัดแล้ว ในเขตพุทธาวาสห้ามมิให้มีการสร้างถาวรวัตถุใด ๆ เพิ่มเติมอีก การทำนุบำรุงอาคารต่าง ๆ มิให้มีการดัดแปลง ต่อเติม หรือการตกแต่งที่ผิดไปจากรูปแบบเดิม รวมถึงมิให้มีการจัดทำค้าวัตถุมงคลภายในวัด

ความสำคัญและความอัศจรรย์ของวัดแห่งนี้
ได้ฟังเรื่องเล่าจากผู้ใหญ่บ้าน คนเฒ่าคนแก่ และผู้รู้ว่า มีเหตุอัศจรรย์บ่อยครั้ง เช่น ผู้ทรงศีลหรือพระธุดงค์มาปฏิบัติธรรมเป็นประจำในวันพระหรือวันสำคัญทางพุทธศาสนา ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงจะมองเห็นดวงไฟสีเขียว สีทอง สุกสว่างบริเวณวัดนี้หลายครั้ง จึงเชื่อกันว่าน่าจะมีพญานาครักษาวัดแห่งนี้ อีกทั้งเมื่อมีชาวบ้านมาหาปลาหรือล่าสัตว์ ก็มักเจองูใหญ่และจับปลาไม่ได้เลย

แผนที่การเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวชุมชนทางประวัติศาสตร์อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน

"วัดทิพย์อัปสรอมรอินทร์ รื่นรมย์ศิลป์ถิ่นล้านนา"


อ้างอิงจาก : ห้องสมุดประชาชนอำเภอเวียงหนองล่อง 412 ต.วังผาง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน



วัดบ่อแก้ว

 


วัดบ่อแก้ว

ชมวัดบ่อแก้ว ตำนานศักดิ์สิทธิ์ "พระเจ้าเเก้ว" เมืองน่าน อลังการอารามกลางขุนเขา

ขอบคุณที่มาจากหนังสือ อนุสาร อสท. นิตยสารท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองไทย ฉบับเดือนกันยายน คอลัมน์ เเวะชมสมบัติศิลป์ เรื่อง โดย ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ 

ในเมืองเล็ก ๆ แสนเงียบสงบกลางโอบล้อมของผืนป่าเขียวขจีและทิวเทือกเขาอันสลับซับซ้อน ศาสนสถานงดงามอลังการด้วยลวดลายปูนปั้นสุดแสนวิจิตรยืนหยัดอยู่อย่างเงียบ ๆ ทว่าสง่างามโดดเด่นสะดุดตาในฐานะอุโบสถหลังใหม่ของวัดบ่อแก้ว ศูนย์กลางแห่งศรัทธาของชาวบ้านบ่อแก้ว ตำบลบ่อแก้ว อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่านแต่เดิมบ้านบ่อแก้วเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อว่าบ้านเมืองหิน เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2390 (ตรงกับในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นสำหรับเป็นศูนย์รวมจิตใจและใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม ให้ชื่อว่า "วัดศรีมาราม" ภายในบริเวณวัดมีบ่อน้ำอยู่ หลังจากสร้างวัดแล้วได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น โดยทุกวันพระจะปรากฏดวงแก้วส่องแสงสว่างสุกใสลอยออกมาจากบ่อน้ำภายในวัด สร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้ชาวบ้านเป็นอย่างมาก จึงช่วยกันสร้างพระเจดีย์ครอบบ่อน้ำเอาไว้ แล้วเปลี่ยนชื่อจากวัดศรีมารามเป็น "วัดบ่อแก้ว" รวมทั้งชื่อหมู่บ้านด้วย เพื่อระลึกถึงปรากฏการณ์มหัศจรรย์อันเป็นมหามงคลบนฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระประธาน เบื้องบนสุดประดิษฐานพระเจ้าแก้ว ประดับรัศมีไฟกะพริบปูชนียวัตถุสำคัญที่สุดของวัดบ่อแก้ว คือ พระเจ้าแก้ว พระพุทธรูปเนื้อแก้วใส ปางประทับยืนอุ้มบาตร สูงประมาณ 1 คืบ มีตำนานเล่าถึงที่มาว่า เมื่อร้อยกว่าปีก่อนมีตากับยายทำไร่อยู่ที่ม่อนเขาแก้ว (บริเวณใกล้กับวัดชัยมงคลในปัจจุบัน) วันหนึ่งขณะกำลังช่วยกันดายหญ้า แวก (จอบขนาดเล็ก) ที่ใช้อยู่ได้ไปกระทบกับบางสิ่งที่โผล่พ้นดินขึ้นมา ด้วยความสงสัยสองตายายจึงพากันขุดลึกลงไปอีก จนพบว่าสิ่งที่แวกไปกระทบเข้านั้นเป็นยอดพระเกศของพระพุทธรูปที่จมดินอยู่ จึงขุดขึ้นมาล้างดินโคลนที่ห่อหุ้มออก ปรากฏเป็นองค์พระพุทธรูปแก้วใสสวยงาม จึงนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดบ่อแก้ว

 จากนั้นได้เกิดปาฏิหาริย์ พระเจ้าแก้วได้เสด็จออกไปในสถานที่ต่าง ๆ โดยแต่ละครั้งมีชาวบ้านไปพบเห็นมาเล่าลือกัน เช่น ริมลำน้ำหินบ้าง ใต้โคนต้นเดื่อใหญ่ในหมู่บ้านบ้าง ในโบสถ์ที่วัดปง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพงษ์) บ้าง บนแท่นพระเจ้าหลวงวัดนาหวายบ้าง บางครั้งเสด็จไปไกลถึงวัดบ้านล้อง หรือวัดร้อง ในตำบลสถาน ผู้เฒ่าแสนใจยาวาของหมู่บ้านจึงสร้างบุษบกไว้ถวายให้เป็นแท่นที่ประทับ นับแต่นั้นมาพระเจ้าแก้วก็ไม่เสด็จไปที่ไหนอีกเจ้าผู้ครองนครน่านองค์หนึ่งได้ทราบถึงเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าแก้วได้จัดส่งขบวนช้างม้าพร้อมทหารมาอัญเชิญพระเจ้าแก้วขึ้นหลังช้างเพื่อนำไปประดิษฐานไว้ที่วัดหลวงในเมืองน่าน แต่เมื่อขบวนเดินทางไปถึงบริเวณที่เรียกว่า "แพะไก่เถื่อน" เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก เป็นวิปริตอาเพศ จนขบวนไม่สามารถเดินทางไปต่อได้ ต้องอัญเชิญกลับมาไว้ที่วัดบ่อแก้วตามเดิม พระเจ้าแก้วจึงถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวอำเภอนาหมื่น ในวันวิสาขบูชาและวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะอัญเชิญออกมาให้ประชาชนสรงน้ำเป็นประจำทุกปี

อุโบสถสุดอลังการนี้นับเป็นอุโบสถหลังที่ 3 ของวัด หลังดั้งเดิมแรกสุดเป็นสถาปัตยกรรมไม้ เสาต้นซุงขนาดใหญ่ หลังคามุงแป้นเกล็ดแบบล้านนา ถูกรื้อออกไปเมื่อหลายปีก่อน แล้วสร้างอุโบสถหลังใหม่ก่ออิฐถือปูนบนพื้นที่เดิมเป็นหลังที่สอง ด้วยรูปแบบเรียบง่าย ยังไม่มีการประดับประดาอย่างวิจิตร เพียงมีลักษณะเด่นประการหนึ่ง คือ ข้างหลังโบสถ์ด้านนอกทางทิศตะวันตกทำเป็นวิหารน้อยขนาดเล็ก ตั้งบนเสาสูง 4 ต้น เหมือนกับหิ้งพระติดอยู่กับผนัง สำหรับประดิษฐานพระเจ้าแก้วสถาปัตยกรรมอันงดงามด้วยลวดลายปูนปั้นสีมุกอันวิจิตรของอุโบสถวัดบ่อแก้วกระทั่งเมื่อ 15 ปีก่อน (ประมาณปี พ.ศ. 2556) ทางวัดบ่อแก้วจึงได้มีการบูรณะก่อสร้างอุโบสถใหม่อีกครั้ง โดยใช้ช่างจากจังหวัดเชียงราย แปรสภาพสู่อุโบสถอันวิจิตรตระการตาด้วยลวดลายปูนปั้นเต็มผนังอุโบสถ ด้านนอกตลอดจนหน้าต่างซุ้มโขงข้างละ 4 บาน เข้ากันกับตัวบานหน้าต่างที่จำหลักไม้เป็นลวดลายสิบสองนักษัตร เหนือหน้าต่างขึ้นไปเป็นประติมากรรมเทวดานางฟ้าถือพานเหาะมาโปรยปรายดอกไม้ ลวดลายทั้งหมดแลดูเงางามเป็นประกายด้วยสีมุกที่ทางวัดเลือกใช้การพ่นสีโบสถ์ทั้งหมดด้วยสีมุก นอกจากจะทำให้ดูมีมิติสวยงาม ไม่ขาวโพลนจนเกินไปแล้ว ยังช่วยให้มีความทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ โดยเฉพาะน้ำฝนไม่สามารถซึมเข้าในพื้นผิวจนก่อให้เกิดเป็นราหรือตะไคร่น้ำให้ลดทอนความงดงามของอุโบสถลงได้สองฝั่งราวบันไดตกแต่งด้วยประติมากรรมพญานาคใหญ่แผ่พังพานนำขึ้นไปยังซุ้มประตูโขงด้านหน้าอุโบสถทางทิศตะวันออกประดับลายปูนปั้นละเอียดยิบ บนยอดประตูใหญ่ถึงกลางปั้นเป็นเจดีพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี ล้อมรอบด้วยเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บานประตูจำหลักไม้เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ในพุทธประวัติ เช่น ตอนมารผจญ ตอนปราบองคุลีมาล และอื่น ๆ บานละ 4 ตอน สองฟากฝั่งประตูประดับด้วยประติมากรรมเทพบุตรเทพธิดายืนพนมมือ ระบายสีสันอย่างสวยงาม ด้านหลังอุโบสถททางทิศตะวันตกก็มีลักษณะคล้ายกัน ผนังระเบียบทุกด้านล้วนแล้วแต่ประดับประดาด้วยปูนปั้นในเรื่องราวพุทธประวัติจนแทบไม่มีที่ว่าง ภายในอุโบสถก็ตระการตาไม่ยิ่งหย่อนบนฐานชุกชีทำเป็น 3 ชั้น บนสุดประดิษฐานพระเจ้าและชั้นสุดท้ายประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัยและพระพุทธชินราชจำลองรุ่นใหม่ลดหลั่น หลังพระประธานเป็นปูนปั้นพุทธประวัติ 3 ตอนสำคัญ คือ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน เรียงกันจากซ้ายไปขวา ส่วนผนังทางด้านหน้า ด้านซ้ายและขวารายรอบด้วยปูนปั้นนูนต่ำเล่าเรื่องมหาเวศสันดรชาดก

เจดีย์ประธานฐานย่อมุมองค์ระฆังกลมแบบล้านนาของวัดก็ได้รับการประดับประดาด้วยลวดลายปูนปั้นเป็นเรื่องราวของประเพณีงานบุญในเทศกาลต่าง ๆ ตลอดทั้ง 12 เดือน รอบฐานทั้ง 4 ด้านพุ่นสีสันสดใสสะดุดตา เชิงบันไดทั้ง 4 ด้านยังประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นแตกต่างกัน ทางทิศตะวันออกเป็นหงส์ ทางทิศเหนือและใต้เป็นสิงห์ และทางด้านตะวันตกเป็นยักษ์อ้วนถือกระบอง นุ่งโจงกระเบนสีชมพูดูน่ารักแม้จะดูเหมือนอยู่ห่างไกล แต่ความงดงามที่กล่าวทั้งหมดนี้ รับรองว่าคุ้มค่ากับการดั้นด้นมาชื่นชมให้เพลิดเพลิงเจริญใจด้วยสายตาของท่านเองอย่างแน่นอน

คู่มือนักเดินทาง

วัดบ่อแก้วตั้งอยู่ที่เลขที่ 129 หมู่ที่ 5 บ้านบ่อแก้ว ตำบลบ่อแก้ว อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน จากตัวเมืองน่านใช้ทางหลวงหมายเลข 101 (ถนนยันตรกิจโกศล) ไปเข้าทางหลวงหมายเลข 1026 ที่อำเภอเวียงสา ผ่านอำเภอนาน้อย เข้าสู่อำเภอนาหมื่น ผ่านหน้าศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนบ้านบ่อแก้ว ที่อยู่ทางขวามือ แล้วเลี้ยวซ้ายที่สี่แยก ผ่านหน้าตลาดสดบ่อแก้วไปจนถึงวัดบ่อแก้วที่อยู่ทางซ้ายของถนน รวมระยะทางประมาณ 77.4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที







ขอบคุณที่มาจากหนังสือ อนุสาร อสท. นิตยสารท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองไทย ฉบับเดือนกันยายน คอลัมน์ เเวะชมสมบัติศิลป์ เรื่องโดยภาคภูมิ น้อยวัฒน์  

อ้างอิงข้อมูล : สกร.ระดับอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน

วัดตากฟ้า พระอารามหลวง


วัดตากฟ้า พระอารามหลวง 

สถานะและที่ตั้ง วัดตากฟ้า เป็นวัดราษฎร์ ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 359 หมู่ที่ 1 ตำบลตากฟ้า อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย วัดตากฟ้า มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 34 ไร่ 3 งาน  มีอาณาเขตติดต่อกับสถานที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ด้านทิศเหนือ - บริเวณด้านหน้าของวัดตากฟ้า ติดกับถนนพหลโยธิน สายตาคลี – ลพบุรี เป็นความยาวทั้งสิ้น 176 เมตร ด้านทิศใต้– บริเวณด้านหลังของวัดตากฟ้า ติดกับศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เป็นความยาวทั้งสิ้น 176 เมตร ด้านทิศตะวันออก – บริเวณด้านขวาของวัดตากฟ้า ติดกับศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ เป็นความยาวทั้งสิ้น ๒๖๓ เมตร ด้านทิศตะวันตก – บริเวณด้านซ้ายของวัดตากฟ้า ติดกับตลาดตากฟ้า เป็นความยาว ทั้งสิ้น 236 เมตร

ประวัติความเป็นมา วัดตากฟ้า แต่เดิมนั้นได้ตั้งเป็นเพียงที่พักสงฆ์ เมื่อปี พ.ศ. 2498 โดยสมัยนั้นยังสังกัด อยู่กับคณะสงฆ์อำเภอตาคลี ต่อมาได้อาศัยศรัทธาจากชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพกสิกรรม เพาะปลูกพืชไร่ ได้ร่วมใจกันสร้างเสนาสนะ และศาลาเพื่อเอาไว้บำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนา อีกประการหนึ่งบริเวณตลาดตากฟ้านั้น ก็ยังไม่มีวัดเป็นที่ประกอบศาสนกิจ ต่อมาในปี พ.ศ. 2498 ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองตากฟ้า คือ นายบันลือ รัตนมงคล ได้เป็นผู้ดำเนินการเรื่องสถานที่ก่อสร้างวัด เพราะที่ดินบริเวณวัดนั้นเป็นที่ของนิคมสร้างตนเอง พร้อมกันนั้นก็ได้อาศัยผู้ใหญ่สมจิตร์ พิมพาภรณ์ นายสิงห์ สมศรี พร้อมด้วยชาวบ้านตากฟ้า เป็นผู้ดำเนินการสร้างวัด ทางด้านฝ่ายคณะสงฆ์นั้น ก็ได้รับการสนับสนุนจาก หลวงพ่อ พระครูนิพัทธ์ศีลคุณ (ทอง) อดีตเจ้าคณะอำเภอตาคลี และหลวงพ่อ พระครูนิยมธรรมภาณ (บก) เจ้าคณะตำบลใน ขณะนั้น ได้ช่วยส่งพระมาเป็นผู้ปกครองสำนักสงฆ์ โดยลำดับ และเพื่อเป็นเกียรติที่พระครูนิยม ธรรมภาณ ได้ให้ความอุปถัมภ์แก่สำนักสงฆ์ชาวบ้านทั่วไปจึงเรียกกันว่า "วัดตากฟ้านิยม ธรรม" โดยเอาชื่อท้ายของราชทินนามมาต่อสร้อย และในปี พ.ศ. 2504 คณะกรรมการวัดตาก ฟ้าก็ดำเนินการทำเรื่องขอตั้งเป็นวัด พ.ศ. 2502 ฮวด วัดหัวถนนใต้) ได้ย้ายมาอยู่และได้ดูแลสำนักสงฆ์วัดตากฟ้า จนถึง พ.ศ. 2507 จึงได้ไปอยู่ที่วัดหนองหลวงตามเดิม พ.ศ. 2508 พระอาจารย์บุญส่ง ซึ่งเป็นผู้ดูแลสำนักสงฆ์วัดตากฟ้านิยมธรรม เป็นรูป สุดท้าย ก็ได้ลากลับไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดสว่างวงษ์ อำเภอตาคลี ตามเดิม พ.ศ. 2508 คณะกรรมการวัด จึงได้ไปขอพระภิกษุ ที่จะมาเป็นผู้นำจากหลวงพ่อพระครู นิสัยจริยคุณ (โอด) ที่วัดจันเสน อำเภอตาคลี เพื่อมาดูแลสำนักสงฆ์ต่อไป ขณะนั้นพระสุรินทร์ จนฺทโชโต เฉลิมพันธ์ (ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็น พระครูนภเขตคณารักษ์) กำลังมาลาหลวงพ่อ พระครูนิสัยจริยคุณ เพื่อจะไปจำพรรษา ณ วัด ปากน้ำ จังหวัดระนอง หลวงพ่อพระครูนิสัยจริยคุณ จึงได้ขอให้ท่านมาจำพรรษา อยู่ที่สำนักสงฆ์วัดตากฟ้านิยมธรรม เพื่อเป็นผู้นำในการดูแลรักษา และได้ส่งหลวงพ่อพริ้งมาด้วย เพื่อที่จะได้มาสอนในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน พ.ศ. 2510 กรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการและด้วยความเห็นชอบของมหาเถร สมาคม จึงประกาศตั้งเป็นวัดขึ้นในพระพุทธศาสนามีนามว่า "วัดตากฟ้า" เมื่อวันที่ 7 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2510 และได้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 84 ตอนที่ 75 ลงวันที่  15 สิงหาคม พ.ศ. 2510 ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ปีเดียวกันนั้น วัดตากฟ้าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 โดยมีเขตวิสุงคามกว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร รวมอุปจาร ของวัดคิดเป็นเนื้อที่ 800 ตารางวา และได้ดำเนินการผูกพัทธสีมา ในปี พ.ศ. 2512 พ.ศ. 2549 ในมหามงคลวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองสิริราช สมบัติครบ 60 ปี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะวัดตากฟ้า ขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ

พระราชปัญญาเวที (ริด ริตเวที ป.ธ.9, กศ.ม.) เจ้าอาวาสวัดตากฟ้า พระอารามหลวง (ปัจจุบัน) รองเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ประวัติ เกิดวันที่ 2 กรกฎาคม 2507 ณ บ้านเลขที่ 25 หมู่ที่ 8 ตำบลตากตก อำเภอบ้าน ตาก จังหวัดตาก เป็นบุตรของนายสำราญและนางเกิด ทับเอี่ยม พ.ศ. 2521 บรรพชา ณ วัดสันป่าลาน โดยพระครูวิศาลกิจจานุวัฒน์ (แขก) เจ้าคณะตำบลตากออก จังหวัดตาก พ.ศ. 2527 อุปสมบท ณ วัดตากฟ้า โดยพระครูนภเขตคณารักษ์ (สุรินทร์) เจ้า คณะอำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2536 เป็นเจ้าอาสวัดตากฟ้า รูปที่ 2 พ.ศ. 2537 สอบไล่ได้เปรียบธรรม 9 ประโยค พ.ศ. 2538 เป็นเจ้าคณะอำเภอตากฟ้า รูปที่ 3 พ.ศ. 2569 รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระศรีสุทธิเวที พ.ศ. 2548 เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. 2549 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชปัญญาเวที พ.ศ. 2550 รับพระบัญชาเป็นเจ้าอาวาสวัดตากฟ้า พระอารามหลวง







อ้างอิงข้อมูล : สกร.ระดับตำบลตากฟ้า อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์

ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย TKP

 
Copyright © 2018 Thailand Knowledge Portal. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand