TKP HEADLINE

Showing posts with label 04.แหล่งท่องเที่ยว. Show all posts
Showing posts with label 04.แหล่งท่องเที่ยว. Show all posts

น้ำตกเขาบรรจบ

 

น้ำตกเขาบรรจบ

 
ขอบคุณเครดิตภาพจาก www.chillpainai.com

น้ำตกเขาบรรจบ ตั้งอยู่ในบ้านทุ่งเพล ตำบลฉมัน อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี บริเวณโดยรอบ เป็นชุมชน ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอากาศมีโอโซนที่บริสุทธิ์ สังเกตได้จากเส้นทางการเดินทางเข้าน้ำตก ซึ่งพื้นที่โดยรอบของบ้านทุ่งเพลมีความอุดมสมบูรณ์ และเขียวขจีด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ตลอดเส้นทาง ลำธารน้ำตกที่ไหลลงมาจากน้ำตกเขาบรรจบตลอดเวลา โอบล้อมไปด้วยบ้านเรือน ชุมชนและโรงแรม ที่พักตากอากาศ มาเที่ยวที่น้ำตกเขาบรรจบจังหวัดจันทบุรีแล้ว ก็ต้องพักโฮมสเตย์ริมน้ำ ซึ่งตั้งอยู่เรียงรายตลอดสายน้ำที่ทอดยาวหลายกิโลเมตร สัมผัสกับบรรยากาศริมน้ำที่สุดแสนจะโรแมนติก 

 
ขอบคุณเครดิตภาพจาก www.chillpainai.com

ในการเดินทางมายังน้ำตกนั้นมี 2 เส้นทาง คือ เข้าทางหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ไม่มีค่าผ่านทาง ซึ่งการเดินทางเข้าด้านอุทยานจะมีลานดินที่สามารถตั้งแคมป์ปิ้ง และลงเล่นน้ำตกได้ 

 
ขอบคุณเครดิตภาพจาก www.okchanthaburi.com

และอีกเส้นทางหนึ่งผ่านทางวัดเขาบรรจบ ซึ่งวัดเขาบรรจบเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ถ้าได้มาเที่ยวที่บ้านทุ่งเพลแล้ว ก็ต้องแวะไปกราบพระพุทธชินราชภายใน "วัดเขาบรรจบ" ที่นี่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และเรียกได้ว่าเป็นวัดป่าที่มีความสงบอีกแห่ง เหมาะสำหรับคนที่ชอบศึกษาธรรมะ หรือชอบปฏิบัติธรรม และอีกหนึ่งไฮไลท์ภายในวัดเขาบรรจบนั่นคือ "ต้นสมพงษ์" ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี ความสูง 10 เมตร กว้างขนาด 10 คนโอบเลยทีเดียว อยู่ภายในพุทธอุทยานในวัดเขาบรรจบแห่งนี้ ตามประวัติสมัยก่อน ชาวบ้านโดนทางการปิดทางเข้าออกด้วยต้นสมพงษ์น้อยใหญ่ จึงทำการเจาะทางเดินเพื่อความสะดวก แต่ถึงกระนั้นแล้วต้นสมพงษ์ต้นนี้ก็ยังแข็งแรงและคงทนตราบจนปัจจุบัน ชาวบ้านที่นี่เลยเรียกต้นสมพงษ์ต้นนี้ว่า "ประตูสวรรค์" ไปสู่ธรรมะและความสงบ

    
ขอบคุณเครดิตภาพจาก www. paikondieow.com

นอกจากความอัศจรรย์ของต้นไม้นี้แล้ว ภายในบริเวณวัดเขาบรรจบยังเป็นแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้นานาชนิด และยังมีสะพานแขวนที่เป็นหนึ่งเอกลักษณ์ของวัดเขาบรรจบ สำหรับใครที่ได้มาสัมผัสสถานที่แห่งนี้แล้วนั้น จะรู้สึกเหมือนเข้ามายังอีกโลกหนึ่งที่มีแต่ความบริสุทธิ์ มีความอุดมสมบูรณ์ที่เงียบสงบของธรรมชาติอย่างแท้จริง

 

ขอบคุณเครดิตภาพจาก www. thesunsight.com

สำหรับการมาเที่ยวชมน้ำตกเขาบรรจบนั้น (พิกัด : 12.851177381670162, 102.20272392847018) สามารถ ไป-กลับ และพักค้างคืน ในการพักนั้น มีทั้งแบบโฮมสเตย์และพักโรงแรมตากอากาศ ซึ่งราคาที่พักนั้นมีตั้งแต่ 800-6,000 บาท ขึ้นอยู่กับบรรยากาศ สิ่งอำนวยความสะดวก และจำนวนผู้เข้าพักแต่ละห้อง อีกทั้งยังมีจุดกางเต็นท์ในบริเวนอุทยาน

ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นายชัยณรงค์ มณีเลิศ
ภาพประกอบ โดย นายชัยณรงค์ มณีเลิศ
เว็บไซต์:  okchanthaburi, chillpainai, paikondieow, esportivida
เฟซบุ๊ก :  Welovetogo










วัดสมานรัตนาราม แหล่งรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแปดริ้ว

วัดสมานรัตนาราม แหล่งรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแปดริ้ว 

วัดสมานรัตนาราม ตั้งอยู่ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อยู่ระหว่างอำเภอบางคล้า และอำเภอคลองเขื่อน ริมแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ตำแหน่งที่ตั้งของวัดสมานรัตนาราม อยู่ในตำแหน่ง “ฮวงจุ้ยมงคล” (ถุงเงินถุงทอง) เป็นแหล่งรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประทานพรให้ผู้คนสมปรารถนา จึงมีผู้คนมากมายมาที่วัดสมานรัตนาราม
จุดเด่นสำคัญของวัดสมานรัตนาราม มีองค์พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สูง 16 เมตร ยาว 22 เมตร เนื้อชมพู ลักษณะกึ่งนั่งนอนตะแคง โดยพระหัตถ์ซ้ายถืองาที่หัก พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว ความหมายของพระพิฆเนศปางนอนเสวยสุข คือ ความสุขสบาย ความสุขบริบูรณ์มั่งคั่งพร้อมทุกด้าน รื่นรมย์ ไร้ทุกข์ ไร้ความเศร้าหมอง อิ่มหนำสำราญ มีกิน  มีโชคลาภ จะนำความสุขสบายมาสู่ผู้บูชา ถือเป็นมหามงคล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่ประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา รอบฐานมีพระพิฆเนศ 32 ปาง ให้ได้ขอพรสักการะและเป็นห้องจัดแสดงวัตถุมงคล ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมและสำหรับผู้ที่ต้องการบูชาองค์พระพิฆเนศอีกด้วย

        

เคล็ดลับการขอพรพระพิฆเนศจะมีปูนปั้นรูปหนูอยู่สองตัว ชื่อว่า หนูมุสิกะ ซึ่งเป็นต้นห้องของพระพิฆเนศ จะมีนักท่องเที่ยวต่อแถวยาวยืนกระซิบที่รูปปั้นหนู เชื่อว่าถ้าอยากได้สิ่งใดขอพรสิ่งใดให้สมหวังให้ไปกระซิบที่หูหนูแล้วหนูจะนำสิ่งที่เราขอนั้นไปบอกท่านพระพิฆเนศให้ประทานสิ่งที่ต้องการกลับมาแต่สิ่งที่สำคัญ คือ อย่าลืมติดสินบนหนูด้วยการทำบุญใส่ตู้ที่วางไว้ด้านหน้า และเวลากระซิบบอกหนูให้เราเอามืออีกข้างอ้อมไปปิดรูหูของหนูอีกข้างด้วย ทั้งนี้เพราะป้องกันการฝากขอพรจะได้ไม่เข้าหูซ้ายทะลุออกไปหูขวานั่นเอง 

  

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระ 5 พี่น้อง
มีความเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องโชคลาภ ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก รวมทั้งขอในเรื่องการเรียน การงาน หรือหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย 
หลวงพ่อโต นิยมกราบไหว้เพื่อขอพรเกี่ยวกับสุขภาพเพราะเชื่อว่าท่านสามารถขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บให้หายในเร็ววัน และสามารถคุ้มครองผู้กราบไหว้ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตราย


เจ้าแม่กวนอิม องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นปางประทานบุตรและโชคลาภ คนทั่วไปมีความเชื่อ ศรัทธาในเรื่องการขอบุตรโดยเฉพาะบุตรเพศชาย

 

องค์ท้าวมหาพรหมใหญ่ที่สุดในโลก ประชาชนนิยมกราบไหว้ขอพรให้สำเร็จในหน้าที่การงาน

 

พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ หรือช้างสามเศียรมีความเชื่อว่าพระอินทร์เป็นเจ้าแห่งช้างทั้งปวงในสากลจักรวาลมีช้างเป็นพาหนะคู่พระทัยเป็นเอกลักษณ์ของการทำความดี และความอุดมสมบูรณ์ นิยมเดินลอดท้องช้างเพื่อสะเดาะเคราะห์ และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต


พระราหู ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
มีความเชื่อว่าการกราบบูชาพระราหูจะนำโชคลาภ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ความเจริญก้าวหน้า ร่ำรวยเงินทองมาให้ รวมถึงแก้เคล็ด ผู้ที่มีดวงราหูเข้าแทรกนิยมไหว้เพื่อแก้เคล็ด จะช่วยปัดเป่าเรื่องร้าย ๆ ให้กลายเป็นดี เกื้อหนุนดวงชะตาชีวิต

 

ดอกบัวกลางแม่น้ำวิจิตรสวยงาม มีพระบรมสารีริกธาตุให้ประชาชนได้กราบไหว้ 

 

พญานาค
รูปทรงสีสันสวยงามเป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมกันอีกด้วย การส่งเสริมการท่องเที่ยวจากชุมชนและภาครัฐ โดยให้คนในชุมชนได้จัดจำหน่ายสินค้า มีบริการล่องเรือชมแม่น้ำบางปะกงเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน ปัจจุบันวัดสมานรัตนารามไม่ได้รู้จักเฉพาะในหมู่คนไทยในประเทศแม้แต่ต่างประเทศทั่วโลกก็รู้จัก ผู้คนเดินทางมากราบไหว้ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์วันละหลายหมื่นคนยิ่งทำให้วัดพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง


เวลาเปิด – ปิด : วัดสมานรัตนาราม เปิดให้เข้าสักการะ ทุกวัน เวลา 08.00 - 18.00 น.
ตำแหน่งที่ตั้ง : ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง หมู่ที่ 11 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา
พิกัด : 13.72264, 100.52931  
การเดินทาง : ใช้ Google map โดยเลือกได้ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางมอเตอร์เวย์ หรือเส้นทาง
มีนบุรี
 


ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางสาวภาวิณี ผมงาม
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวภาวิณี ผมงาม
ข้อมูล TKP อ้างอิง https://shorturl.asia/iT5xM









ศาลหลักเมืองขุขันธ์

 

ศาลหลักเมืองขุขันธ์






มาขุขันธ์ทั้งที ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน นี่เลย! มาไหว้ศาลหลักเมืองก่อน แล้วชีวิตคุณจะมีแต่ ความราบรื่น ศาลหลักเมืองขุขันธ์ สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ตั้งอยู่บริเวณสวนพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ใจกลางเมืองขุขันธ์ การเดินทางก็แสนจะสะดวกสบาย สามารถจอดรถยนต์บริเวณถนนหน้าที่ว่าการอำเภอขุขันธ์ก็ได้ หรือจะจอดรถบนถนนฝั่งไปรษณีย์ขุขันธ์ก็ดี มีประตูทางเข้าทั้ง 4 ทิศ รอบ ๆ ศาลหลักเมือง คือสนามหญ้าสีเขียวขจีตัดกับสีของหินอ่อนไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็สวยเด่นเป็นสง่า ว่าแล้วก็เข้าไปชื่นชมความงดงามของศาลหลักเมืองขุขันธ์กันเลย!



รั้วบริเวณรอบศาลหลักเมืองสร้างด้วยอิฐแดง ทางเข้าศาลแต่ละด้านจะมีรูปปั้นอยู่ หากเดินเข้าทางประตูหน้า จะพบกับจุดบูชาดอกไม้ธูปเทียน หากใครมีจิตศรัทธาก็หย่อนเงินลงในหีบได้เลย




ภายในศาลหลักเมือง ภายในเพดานทาสีแดงสด ขับเน้นให้อาคารหินอ่อนดูมีความขลัง หน้าองค์พระหลักเมือง มีคำกล่าวบูชา สักการะ ใครใคร่วางพานบายศรีก็วาง ใครใคร่ถวายพวงมาลัยก็ถวาย

ศาลหลักเมืองขุขันธ์ไม่มุ่งเน้นการบนบานศาลกล่าว หากแต่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษผู้สร้างบ้านแปลงเมือง กราบไหว้เพื่อเสริมสิริมงคลในชีวิต ใครอยากเลื่อนขั้นก็ขยันทำงาน ใครอยากร่ำรวยก็ขยันทำมาหากิน รับรองประสบความสำเร็จทุกราย 

ตำแหน่งที่ตั้ง : อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
การเดินทาง : ใช้เส้นทาง ถนนศรีสะเกษ - ขุขันธ์ ตั้งอยู่บริเวณ 4 แยกไฟแดงที่ทำการไปรษณีย์สาขาขุขันธ์ 

เนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางประไพพักตร์ แท่นแก้ว
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางประไพพักตร์ แท่นแก้ว
TKP อ้างอิง https://shorturl.asia/KGEVi






หาดสวนหิน บ้านดงคำโพธิ์

 หาดสวนหิน บ้านดงคำโพธิ์


หาดสวนหิน บ้านดงคำโพธิ์ หมู่ที่ 11 ตำบลปลาโหล  อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เหล่านักท่องเที่ยวอยากสัมผัสกับบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติและกำลังเป็นที่รู้จักวงกว้าง นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกันในช่วงฤดูร้อนหรือวันหยุดพักผ่อน/หลังเลิกงาน ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นกระแสอย่างมาก กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฮิตที่สุดในขณะนี้ ลักษณะเด่นของที่นี่ จะมีโขดหินขนาดใหญ่เล็กที่อยู่รวมกลุ่ม เรียงกันสวยงาม มีหาดทราย มีจุดชมวิว/จุดเช็คอิน ที่พัฒนาชุมชนอำเภอวาริชภูมิได้ทำขึ้น มีซุ้มให้นั่งและมีน้ำจากเขื่อนน้ำอูน ซึ่งเชื่อมต่อกันยาวสุดลูกหูลูกตามีบริเวณที่กว้างใหญ่ วิวเขาสวยงามเป็นธรรมชาติ บรรยากาศดีมาก ๆ จะเห็นได้ดังรูปภาพด้านล่าง 


นักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางมาหาดสวนหินสามารถเดินทางมาตามเส้นทางด้านล่าง

ผู้ที่สนใจเดินทางมาที่หาดสวนหิน บ้านดงคำโพธิ์ สามารถเดินทางมายังถนนพังโคน-วาริชภูมิ ผ่านมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร ตรงไปประมาณ 10 กิโลเมตร ผ่านหน้าโรงเรียนมัธยมวาริชภูมิ 500 เมตร จะมีป้ายบอกทางไปหาดสวนหินดงคำโพธิ์ เลี้ยวซ้าย แยกบ้านดงเชียงเครือ ขับรถเข้าไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตร พอพบ 3 แยก หน้าโรงเรียนบ้านดงคำโพธิ์ เลี้ยวขวา 200 เมตร หาดสวนหินจะอยู่ซ้ายมือ



หาดสวนหิน มีอีกชื่อที่นิยมเรียกกัน คือ พัทยาวาริชภูมิ หรือพัทยาอีสาน เพราะมีลักษณะคล้าย ๆ กัน เมื่อมีลมพัดมากระทบกับน้ำในหาด จะเหมือนกับคลื่นทะเล นับว่าเป็นทะเลน้ำจืดแห่งหนึ่งของภาคอีสานได้เลยที่นี่มีห่วงยางและเสื้อชูชีพบริการ ราคาไม่แพง อยู่ที่ 20 - 50 บาท จะมาเที่ยวแบบคู่ แบบครอบครัว หรือแบบเพื่อนในกลุ่มแก๊ง มาได้เลยไม่ต้องไปเที่ยวทะเลไกล ๆ ที่นี่ก็ตอบโจทย์แห่งความเย็นสบายคลายร้อนแน่นอน ไปนั่งชิวรับรมชมวิวในวันหยุดกัน

เมื่อเดินทางมาถึงหาดสวนหิน สิ่งที่เห็น ก็คือ นักท่องเที่ยวมากมาย นั่งชมวิวอยู่ริมหาดกันอย่างหนาแน่น  ที่หาดสวนหิน มีบานานาโบ๊ท มีม้าให้ขี่ มีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ให้ซื้อกันแบบจุใจ มีทั้งส้มตำ ยำ ย่าง จิ้มจุ่ม ปลาเผา และอื่น ๆ อีกมากมาย ทานแล้วอย่าลืมนำขยะหรือเศษอาหารของท่านกลับบ้านด้วย ช่วยกันดูแลรักษาหาดให้สะอาดร่วมกัน  ที่นี่นิยมมาเที่ยวกันในช่วงบ่ายแก่ ๆ จะได้ไม่ร้อนจัด พร้อมรอชมพระอาทิตย์อัสดง บวกกับทิวทัศน์ของน้ำในเขื่อนน้ำอูนอากาศเย็น รับโอโซนได้เต็มปอด บรรยากาศดี อากาศแจ่มใส เหมาะสำหรับผู้ที่อยากพักผ่อนหย่อนใจ พักสมองให้ปลอดโปร่ง

นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งแห่งในจังหวัดสกลนคร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับเหล่านักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเล่นน้ำคลายร้อน นั่งชิว ร้องเพลงริมหาด นั่งทานอาหารเปลี่ยนบรรยากาศกันอย่างสนุกสนาน ทานแล้วอย่าลืมรักษาความสะอาดกันด้วย จะได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าดู น่าเที่ยว เห็นแล้วสบายตาไปกับบรรยากาศธรรมชาติ ยิ่งเทศกาลสงกรานต์ หรือวันหยุดยาว จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวจังหวัดสกลนคร ไม่ว่าใคร ๆ ก็อยากมาเที่ยว รีบมาสัมผัสบรรยากาศความเย็นสบาย มาเล่นน้ำกันให้จุใจไปเลย หาดนี้มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในเรื่องความปลอดภัยและสถานที่จอดรถ มีห้องน้ำบริการ หาดจะปิดเวลา 18:00 น. เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว สำหรับใครที่ยังไม่เคยมาเที่ยว อย่าลืมมาเที่ยวกันนะ


ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางสาวณัชวดี ศรีกูลกิจ
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดยนายเวศยัน ไชยนนท์, นางสาวณัชวดี ศรีกูลกิจ







สวนสาธารณะบึงขุนทะเล


สวนสาธารณะบึงขุนทะเล
"บึงขุนทะเล" เป็นบึงน้ำจืดตามธรรมชาติขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่สามตำบลของอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ได้แก่ ตำบลมะขามเตี๋ย ตำบลขุนทะเล และตำบลวัดประดู่ โดยชื่อ “ขุนทะเล” สันนิษฐานว่ามาจากชื่อของพญาจระเข้ชื่อพ่อขุนทะเล ผู้คอยดูแลรักษาความสงบสุขในบึง รอบบึงสำหรับเดิน วิ่ง และปั่นจักรยานรอบเกาะ โดยรอบเล็กมีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ส่วนรอบใหญ่มีระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร บึงขุนทะเลในปัจจุบันสามารถใช้เป็นพื้นที่ออกกำลังกายก็ได้ ชมธรรมชาติก็ดี แถมยังมีวิถีชุมชนด้วย โดยยังคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่ลงตัวระหว่างธรรมชาติที่สมบูรณ์ของพื้นที่และวิถีชีวิตของคนในชุมชน



แหล่งท่องเที่ยวชุมชน พระจุฑาธุชราชฐาน

แหล่งท่องเที่ยวชุมชน พระจุฑาธุชราชฐาน จังหวัดชลบุรี

พระจุฑาธุชราชฐาน ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนตำบลท่าเทววงษ์ อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เมื่อครั้งในอดีตเคยเป็นที่ประทับแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พระราชวังฤดูร้อน" ถูกสร้างขี้นในสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นพระราชวังแห่งเดียวในประเทศไทยที่อยู่บนเกาะ ในปีพุทธศักราช 2431 เกาะสีชังได้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีและสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เนื่องจากทรงพระประชวร และคณะแพทย์ได้ถวายความเห็นว่าควรเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับอยู่ในที่จะได้อากาศจากชายทะเล ในเวลาต่อมาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับแรมด้วยและได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับที่เกาะสีชังอีกบ่อยครั้ง ในระยะแรกได้มีพระราชดำริและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกขึ้นจำนวน 3 หลัง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับให้ผู้ป่วยมาพักฟื้นรักษาตัว ได้แก่ หลังที่ตั้งอยู่ริมหาดทรายพระราชทานนามว่า "เรือนวัฒนา" ส่วนตึกกลมพระราชทานนามว่า "เรือนผ่องศรี" และตึกยาวพระราชทานนามว่า "เรือนอภิรมย์" ซึ่งตั้งตามพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี และพระนางเจ้าสายสวลีภิรมย์ 



หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินยังเกาะสีชังอยู่บ่อยครั้ง จึงมีพระราชดำริให้ก่อสร้างสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นการบำรุงเกาะสีชังให้เป็นที่เจริญยิ่งขึ้นและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานใหญ่ที่ทำด้วยไม้ทาสีเสาก่อศิลาโบกปูนซีเมนต์ยาวตั้งแต่ชายหาดลงไปจนถึงน้ำและมีบันไดลงน้ำ เนื่องจากเกาะสีชังในเวลานั้นยังไม่มีท่าเทียบเรือเวลาน้ำลงแห้งเรือไม่สามารถเข้าออกบริเวณหาดทรายได้ผู้คนต้องเดินลุยน้ำลำบาก บ้างก็ถูกหอยบาดเป็นแผลทำให้บาดเจ็บเป็นจำนวนมากและได้พระราชทานนามว่า "สะพานอัษฎางค์" เมื่อปีพุทธศักราช 2434 ซึ่งตั้งตามพระนามของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธฯ หรือเรียกอีกชื่อว่า "สะพานแห่งรัก"


ต่อมาในปีพุทธศักราช 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายศาลเจ้า ซึ่งเป็นศาลเทพารักษ์ประจำเกาะสีชังและเป็นสถานที่ที่ชาวเกาะสีชังนับถือสักการะบูชาไปสร้างศาลขึ้นมาใหม่แทนศาลเดิมบนไหล่เขามีช่อฟ้าใบระกา พระราชทานนามว่า ศาลศรีชโลธรเทพ และมีต้นมะขามตั้งอยู่ด้านหน้าพระราชทานนามต้นมะขามนี้ว่า "ต้นหัตถวิจารณ์" โดยสันนิฐานว่าตั้งตามนามของพระหัตถวิจารณ์จำนงค์ นายช่างตรวจการในการก่อสร้างพระราชฐานในครั้งนั้น เวลาต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชฐานที่ประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ ได้แก่ พระที่นั่งโกสีย์วสุภัณฑ์ พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ พระที่นั่งโชติรสประภาต์ พระที่นั่งเมขลามณี  และพระตำหนักอื่น ๆ อีก 14 หลัง เช่น พระตำหนักวาสุกรีก่องเก็จ พระตำหนักเพ็ชร์ระยับ พระตำหนักทับทิมสด พระตำหนักมรกฎสุทธ์ ซึ่งพระตำหนักมรกฎสุทธ์นี้เป็นที่ประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ซึ่งในปัจจุบันพระที่นั่งและพระตำหนักเหล่านี้ไม่มีอยู่แล้ว ส่วนอาคารที่ยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ได้แก่ ตึกวัฒนา ตึกผ่องศรี ตึกอภิรมย์ เรือนไม้พักผ่อนริมทะเล ศาลศรีชโลธรเทพ รวมทั้งอัษฎางค์ประภาคารบนแหลมวังซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสีชัง สะพานอัษฎางค์และพระอุโบสถวัดอัษฎางคนิมิตร

นอกจากนี้ในเขตพระราชฐานยังมีการขุดสร้างบ่อ สระ และธารน้ำ รวมทั้งบันไดและทางเดินเท้าขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้พระราชทานนามของสถานที่ต่าง ๆ เช่น บ่ออัษฎางค์ บ่อเชิญสรวล บ่อชวนดู บ่อชูจิตร บ่อพิศเพลิน บ่อเจริญใจ ฯลฯ หรือสระเทพนันทา สระมหาอโนดาตต์  สระประพาสชลธาร บันไดเนรคันถี บันไดรีฟันม้า บันไดผาเยปนูน บันไดมูนสโตนหนา บันไดศิลาทอง บันไดผองผลึก ฯลฯ เป็นต้น

ในส่วนของเรือนไม้ริมทะเลนั้น พบว่า ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนว่าสร้างในปีใด สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรือนพักตากอากาศของชาวต่างประเทศมาก่อน ต่อมาได้มีการปรับปรุงเป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์ในคราวเสด็จมารักษาพระองค์ก่อนที่จะมีการสร้างพระจุฑาธุชราชฐานในปีพุทธศักราช 2435 ซึ่งในปัจจุบันเป็นสำนักงานส่วนบริการนักท่องเที่ยวและเป็นสถานที่จัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับพระราชฐานในเกาะสีชัง

 
ถัดจากเรือนไม้ริมทะเลหากหันหน้าไปทางทะเลฝั่งซ้ายมือจะเป็นฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงฐานเท่านั้น เนื่องจากได้หยุดการก่อสร้างในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อถอนพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์กลับไปสร้างที่พระราชวังสวนดุสิต เมื่อสร้างเสร็จจึงได้พระราชทานนามว่า “พระที่นั่งวิมานเมฆ” ต่อมาเป็นตึกวัฒนาหรือเรือนวัฒนา จะอยู่ด้านข้างเรือนไม้ริมทะเล หากหันหน้าไปทางทะเลจะอยู่ด้านขวามือในสมัยนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นอาไศรย์สฐาน เพื่อเป็นที่พักฟื้นสำหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศ แล้วเสร็จเมื่อปีพุทธศักราช 2432 และพระราชทานนามตามพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (พระยศในขณะนั้น) ซึ่งทรงบริจาคทรัพย์จัดซื้อเครื่องตกแต่งภายในเรือน ต่อมาใช้เป็นเรือนประทับพระราชวงศ์ ก่อนที่จะมีการสร้างพระจุฑาธุชราชฐานในปีพุทธศักราช 2435 หากหันหน้าไปทางทะเลจะอยู่ฝั่งขวามือของเรือนไม้ริมทะเล ปัจจุบันเป็นสถานที่ จัดแสดงนิทรรศการเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเกาะสีชังสมัยรัชกาลที่ 5

  
เมื่อเดินจากเรือนวัฒนาขึ้นบันไดไปตามไหล่เขาจะพบตึกทรงกลม เรียกว่า "เรือนผ่องศรี" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นอาไศรย์สฐานเพื่อเป็นที่พักฟื้นสำหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศเช่นเดียวกับเรือนวัฒนา แล้วเสร็จเมื่อปีพุทธศักราช 2432 และพระราชทานนามตามพระนามของพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (พระยศ ในขณะนั้น) ซึ่งทรงบริจาคทรัพย์จัดซื้อเครื่องตกแต่งภายในเรือน ต่อมาใช้เป็นเรือนประทับพระราชวงศ์ก่อนที่จะมีการสร้างพระจุฑาธุชราชฐานในปีพุทธศักราช 2435 ปัจจุบันเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและประวัติบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับเกาะสีชังในอดีต และเมื่อเดินขึ้นไปตามทางจะพบกับเรือนอภิรมย์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นสถานที่พักฟื้นเช่นเดียวกับเรือนวัฒนาและเรือนผ่องศรี โดยได้มีการตั้งชื่อเรือนตามพระนามของพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ พระอรรคชายาเธอ (พระยศในขณะนั้น) ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการสิ่งปลูกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5

    

ในเขตพระจุฑาธุชราชฐานเมื่อเดินตามทางขึ้นไปบนเนินเขาจะมีสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือพระเจดีย์อุโบสถวัดอัษฎางคนิมิต ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งในพระจุฑาธุชราชฐาน วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2435 แทนวัดปลายแหลมที่มีมาแต่เดิม ตัวพระอุโบสถเป็นอาคารรูปกลมมีเจดีย์ทรงลังกาซ้อนอยู่ด้านบน มีลักษณะการประดับตกแต่งตามศิลปะแบบโกธิก กล่าวคือ มีประตูและหน้าต่างเป็นรูปโค้งยอดแหลม ช่องแสงประดับด้วยกระจกสีเป็นลวดลายสวยงาม และสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เมื่อใครมาที่เกาะสีชังต้องเดินทางมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเอง คือ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 

    
ในปีพุทธศักราช 2435 ได้เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 หรือเกิดความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐฝรั่งเศสและราชอาณาจักรไทย ซึ่งมีกองทหารบุกขึ้นเกาะสีชังและปิดอ่าวไทยจึงได้ยุติการสร้างพระที่นั่งและตำหนักต่าง ๆ ลง โปรดเกล้าฯ ให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างไปสร้างในที่อื่น นับแต่นั้นเป็นต้นมาพระจุฑาธุชราชฐานจึงถูกยกเลิกการเป็นพระราชวังบนเกาะ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2521 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับมอบสิทธิการใช้ที่ดินจากกรมธนารักษ์ จัดตั้งเป็นสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลและเป็นศูนย์ฝึกนิสิต รวมถึงได้เข้ามาดูแลโบราณสถานและโบราณวัตถุในเขตที่ดินประมาณ 5 ไร่ ซึ่งปัจจุบันสถานีวิจัยอยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำและพระราชฐานพื้นที่ประมาณ 219 ไร่ อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารงานศิลปวัฒนธรรม พื้นที่ในส่วนนี้ได้มีการดำเนินการปรับปรุงร่วมกับกรมศิลปากรเมื่อปีพุทธศักราช 2533 ได้มีการซ่อมแซมอาคารต่าง ๆ ที่ยังคงเหลืออยู่ จำนวน 5 หลัง ประกอบด้วย เรือนไม้ริมทะเล ตึกผ่องศรี ตึกอภิรมย์ ตึกวัฒนา  และพระอุโบสถ 

ปัจจุบันการเดินทางเข้าสู่เขตพระจุฑาธุชราชฐานด้านซ้ายมือจะเป็นสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล ด้านขวามือจะเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชลทัศนสถาน เมื่อเข้ามาข้างในด้านขวามือจะเป็นศาลศรีชโลธรเทพและต้นหัตถวิจารณ์ ด้านซ้ายมือเป็นแนวชายหาดหินสลับกับหาดทรายเลียบทะเลมองเห็นสะพานอัษฎางค์ ทางเข้าพระจุฑาธุชราชฐานจะเห็นต้นมะขามและต้นลีลาวดีล้อมรอบบริเวณ หากเดินตามแนวชายหาดไปถึงแหลมวังจะเป็นที่ตั้งของอัษฎางค์ประภาคาร เมื่อเดินอ้อมแหลมแล้ววกกลับขึ้นมาพบกับชายหาดอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งของพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ปัจจุบันเหลือเพียงส่วนของฐานเท่านั้น ถัดขึ้นมาเป็นเรือนไม้ริมทะเล มักเรียกกันว่า เรือนเขียว ตามสีของอาคาร ถัดจากเรือนเขียวเป็นเรือนวัฒนา เชิงเขาทางด้านล่างหลังเรือนวัฒนาจะมีศาลาซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเมื่อออกจากเรือนวัฒนาเลียบไปตามถนนริมทะเลขึ้นไปตามไหล่เขาจะเห็นเรือนผ่องศรี ส่วนเรือนยาวชั้นเดียวใกล้ ๆ กันนั้น คือ เรือนอภิรมย์หากเดินตามทางขึ้นเนินเขาไปด้านหลังเรือนผ่องศรีจะเป็นวัดอัษฎางคนิมิตร ส่วนด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดจะเจอกับเจดีย์เก่าแก่อายุหลายร้อยปี เรียกว่า เจดีย์เหลี่ยม อยู่บนเนินหิน อีกทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวัดจะมีทางเดินไปยังศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดเขตพระราชฐานและระหว่างทางด้านขวามือมีจุดชมวิวเนินเขาน้อยเป็นจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ในระยะไกลของเกาะสีชัง

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเกาะสีชัง ได้มีการจัดทำหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับอาชีพมัคคุเทศก์ขึ้น และได้นำมัคคุเทศก์ของพระจุฑาธุชราชฐานมาเป็นวิทยากรให้ความรู้ในโครงการภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารด้านอาชีพมัคคุเทศก์ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนในตำบลท่าเทววงษ์สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อการเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนตำบลท่าเทววงษ์ได้        

ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว โดย คุณวันดี รักชาติ หัวหน้าหน่วยพิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน 
เรียบเรียงเนื้อหา โดย นางสาวนารีรัตน์ หัดนา
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวนารีรัตน์ หัดนา
อ้างอิง http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2435/023/169_1.PDF
http://www.botany.sc.chula.ac.th/plantssichang/พิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน








ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย TKP

 
Copyright © 2018 Thailand Knowledge Portal. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand