TKP HEADLINE

Showing posts with label 03.ภูมิปัญญาชาวบ้าน. Show all posts
Showing posts with label 03.ภูมิปัญญาชาวบ้าน. Show all posts

ภูมิปัญญาท้องถิ่น นายประสิทธิ์ เบื้องกลาง

เรื่อง ภูมิปัญญาท้องถิ่น นายประสิทธิ์ เบื้องกลาง

ชุมชน บ้านหมูสี  หมู่ที่ 6 ตำบลพระพุทธ   อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา

นายประสิทธิ์ เบื้องกลาง ภูมิปัญญาชาวบ้าน มีพื้นที่นาอยู่ที่บ้านหมูสี หมู่ที่ 6 ตำบลพระพุทธ   อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา เดิมทีประกอบอาชีพเป็นช่างรับเหมาติดตั้งฝ้าเพดาน อยู่ที่กรุงเทพมหานคร แต่มีปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ประกอบกับมีอุปนิสัยรักสงบชอบอยู่กับธรรมชาติและที่ดินว่างเปล่าอยู่  จึงหันมาสนใจในการทำการเกษตรอย่างจริงจัง ในปี พ.ศ. 2548 เริ่มต้นปรับพื้นที่เตรียมดินและขุดร่องน้ำเพื่อปลูกพืชสวนแบบผสมผสาน ได้แก่ ปลูกมะนาว ฝรั่ง พริก มะม่วง กล้วย และปรับพื้นที่ทำนาแบบนาโยน ผลผลิตที่ได้จะนำมารับประทานเอง เมื่อผลผลิตมีจำนวนมากจึงนำไปแจกเพื่อนบ้านในชุมชนและนำมาจำหน่ายในชุมชน นายประสิทธิ์ เบื้องกลาง ได้ยึดอาชีพเกษตรกรโดยการเรียนรู้ด้วยตนเองลองผิดลองถูก มาเป็นเวลา 6 ปี จึงได้ศึกษาเรื่องการทำเกษตรแบบผสมผสานจากหนังสือ สื่อโทรทัศน์ และศึกษาดูงานจากแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตรที่ทางหน่วยงานราชการแนะนำ โดยได้นำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้กับการทำเกษตรของตนเอง และใช้พื้นที่ดิน จำนวน 9 ไร่ ของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อที่จะนำไปสู่การเกษตรแบบยั่งยืนภายใต้กรอบแนวคิดและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระบบเกษตรผสมผสาน และระบบไร่นาสวนผสม 


มีการนำเทคโนโลยีพื้นบ้านในการทำปุ๋ยหมักชีวภาพมาพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ในการทำน้ำหมักสูตรต่าง ๆ ทีใช้ได้จริงในการทำการเกษตรผสมผสานในพื้นที่นา และสวนเกษตร รวมถึงการนำไปใช้ในการเลี้ยงสัตว์และพัฒนาโดยการทำระบบสูบกลับน้ำหมักเพื่อพักไว้ในถังพักและใช้จักยานปั่นเป็นแรงขับเคลื่อนให้น้ำหมักได้ฉีดพ่นออกทางท่อส่งและหัวฉีดเป็นการทุ่นเวลาและประหยัดแรงงานจะประหยัดค่าใช้จ่าย มีวิธีการทำปุ๋ยหมักที่มีการพัฒนาขึ้น เพื่อให้การย่อยสลายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการเติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ หรือ EM เพื่อเร่งกระบวนการหมัก ทำให้เกิดปุ๋ยจากอินทรีย์วัตถุที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาได้เร็วขึ้น แบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ปุ๋ยหมักจากปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักจากพืช เป็นต้น 


ได้รับเลือกจาก กศน.อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจำตำบลพระพุทธ ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียงสู่ชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการดำเนินชีวิตของชุมชน และเพื่อแสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างให้นักศึกษาและประชาชนเกิดกระบวนการเรียนรู้ อีกทั้งได้จัดพื้นที่ของตัวเองเป็นตัวอย่างเป็นศูนย์สาธิตและศึกษาดูงานของชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย


นายประสิทธิ์  เบื้องกลาง นำความรู้ที่ได้รับจากการอบรม ศึกษาดูงาน  มาปฏิบัติจริงในพื้นที่ของตัวเองเพราะเนื่องจากยึดคติที่ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างฝึกฝนได้ ขอเพียงมีความตั้งใจ  ลงมือปฏิบัติ ขยันหมั่นเพียรหมั่นฝึกฝน ก็จะประสบความสำเร็จ”  โดยมีความมุ่งมั่นว่าการเรียนรู้จะสามารถทำให้เกิดความรู้  และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการดำรงชีวิต

ตำแหน่งที่ตั้ง : บ้านหมูสี  หมู่ที่ 6 ตำบลพระพุทธ   อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา

การเดินทาง :  ใช้เส้นทางถนนเพชรมาตุคลา ถนนหมายเลข 226 และแยกเข้าถนนตำบลพระพุทธ ขับลอดอุโมงค์ ประมาณ 100 เมตร จะพบศูนย์เรียนรู้ของ นายประสิทธิ์ เบื้องกลาง ทางซ้ายมือ

ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย  นางสาวสุวรรณวิสา  ผันพิมาย 

ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวสุวรรณวิสา  ผันพิมาย

ข้อมูล TKP อ้างอิง https://sites.google.com/nfe.go.th/suwanwisa304/home


ภูมิปัญญาท้องถิ่น/ด้านการเกษตรผสมผสาน

 

นายทนงค์  แสงเกิด



สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพัทลุง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอศรีบรรพต

1. ข้อมูลทั่วไป  

นายทนงค์  แสงเกิด  Smart  Farmer  ต้นแบบระดับจังหวัด  

ด้านการเกษตรผสมผสาน/เกษตรทฤษฎีใหม่  จังหวัดพัทลุง

2. ข้อมูล  Smart  Farmer  ต้นแบบ

ชื่อนามสกุล  :  นายทนงค์  แสงเกิด   
วัน  เดือน  ปีเกิด : 17 พฤศจิกายน  2505
ระดับการศึกษา  :  มัธยมศึกษาปีที่  3
สถานบันการศึกษา  :  ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอควนขนุน  จังหวัดพัทลุงที่อยู่  : บ้านเลขที่  76  หมู่ที่ 3 ตำบลเขาย่า  อำเภอศรีบรรพต  จังหวัดพัทลุง
โทรศัพท์  :  08 9298 7493
เข้าร่วมโครงการพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง  (Smart  Farmer)  ประจำปี พ.ศ. 2560

3. ปัจจัยความสำเร็จในการประกอบอาชีพการเกษตรของ  Smart  Farmer   ต้นแบบ

การใช้นวัตกรรม  หรือเทคโนโลยี  หรือวิธีการผลิตอะไร
-การทำนาข้าวอินทรีย์แบบลดต้นทุน  เทคโนโลยีที่ใช้ในการปลูกข้าวต้นเดียวและการให้น้ำแบบเปียกสลับแห้ง
-การปลูกผักโดยปลูกแฝกเป็นแนวกันชนระหว่างแปลง ป้องกันการเกิดโรคและแมลง

การนำนวัตกรรม หรือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาใข้ในกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลอย่างไร  เช่น สามารถเพิ่มผลผลิต หรือลดต้นทุนการผลิต ถูกกว่า/ดีกว่า/ไวกว่าเดิมอย่างไร เป็นต้น

1. ใช้เมล็ดพันธุ์ 3 ขีด ต่อข้าว 1 ไร่ ปลูกแบบปักดำต้นเดียวเมื่ออายุกล้า 15 วัน  ระยะห่าง 50x25  เซนติเมตร  เมื่ออายุข้าว 25 วัน เปิดน้ำออกให้หมดจนน้ำในนาแห้ง  ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 วันจนดินแตกระแหง ใส่ปุ๋ยหมัก  จำนวน 25 กระสอบต่อไร่ ปล่อยน้ำเข้านา ประมาณ 5 เซนติเมตร ตลอดฤดูกาล  เพื่อเร่งการแตกกอ ข้าว 1 ต้น แตกกอเป็น  132  ต้น  เฉลี่ย 132 รวง/กอ  ซึ่งสามารถลดต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ ข้าว  ค่าปุ๋ยเคมี  ค่าน้ำ  ค่ากำจัดวัชพืชและค่าสารเคมีป้องกันกำจัดโรคแมลง  ค่าลงทุนไร่ละ 2,000 บาท  และได้ผลผลิตไร่ละ 1,000 กิโลกรัม (ข้าวหอมปทุม)

2. ฝังท่อพีวีซีจากบ่อเลี้ยงปลา ลงสู่นาข้าวโดยการทำกาลักน้ำ ทำให้ลดต้นทุนจากค่าปุ๋ยเคมีและค่าสูบน้ำ  นอกจากนั้นยังนำน้ำแบบการลักน้ำไปใช้ในปาล์มน้ำมัน มะพร้าวน้ำหอม กล้วยหอมทอง  

3. ใช้ฟางข้าวมาทำปุ๋ยหมัก  เพื่อทำนาครั้งต่อไป  เพื่อให้ประหยัดต้นทุนมากที่สุด

4. เลี้ยงหมูแบบเคลื่อนที่เพื่อปรับปรุงดินให้ดีขึ้น

5. การปลูกผักโดยปลูกแฝกเป็นแนวกันชนระหว่างแปลง ป้องกันการเกิดโรคและแมลง

ด้านการบริหารจัดการ  ที่โดดเด่นหรือแตกต่างจากเกษตรกรท่านอื่น

1. กระบวนการผลิต

ยึดหลักแนวทางทฤษฎีใหม่  แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน  ในพื้นที่ 20 ไร่  ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ 5 ไร่  สำหรับใช้น้ำตลอดปีและเลี้ยงปลาแบบธรรมชาติ  ขุดบ่อเลี้ยงปลาจำนวน 7 บ่อ/1 ไร่ สำหรับเลี้ยงปลาดุก  ทำนา  2  ไร่ ปลูกไม้ผล 4 ไร่ ปลูกไม้ยืนต้น 4 ไร่ ปลูกพืชผัก 3 ไร่ และที่อยู่อาศัย 1 ไร่  

เน้นการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์  ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี  และจัดกิจกรรมการเกษตรแต่ละกิจกรรมที่เกื้อกูลกันไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ผลิตให้มีรายได้ต่อเนื่องของกิจกรรม รายวัน  เลี้ยงไก่ไข่ รายสัปดาห์ หน่อไม้ กล้วย ชะอม ผักบุ้ง มะพร้าว รายเดือน เลี้ยงหมูพื้นบ้าน ทำปุ๋ยเคมี รายปี  ปลา  

2. การจัดการผลผลิต

ผลผลิตข้าว  ตัดด้วยเคียวเพื่อลดการสูญเสีย ตากข้าวแห้งก่อนนวดข้าว ด้วยเครื่องนวดข้าวขนาดเล็ก ตากข้าวเปลือกเพื่อลดความชื้น เก็บใส่กระสอบไว้สีเพื่อบริโภคในครัวเรือน

ผลผลิตอื่น คัดตามขนาดและคุณภาพ

3. การจัดการด้านการตลาด

การเลี้ยงปลาดุก  ตามโควต้าที่จัดจำหน่ายให้กับพ่อค้าและแปรรูปจำหน่าย

ผลผลิตพืชผัก/ผลไม้ จำหน่ายผลผลิตโดยตรงกับผู้บริโภค  ตลาดพื้นบ้าน และมีพ่อค้ารับซื้อที่สวน

มีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย

การแสวงหาความรู้ในการประกอบอาชีพ  และการเชื่อมโยงเครือข่าย

- มีการหาความรู้เพิ่มเติม  โดยเข้าร่วมการอบรมเพิ่มความรู้ของหน่วยงานต่าง ๆ อยู่เสมอ
- เป็นกรรมการ ศพก. เป็นหมอดินอาสา  เป็น อกม.  เป็นประธานกลุ่มปุ๋ยอินทรีย์  กลุ่มออมทรัพย์  กลุ่มส่งเสริมการผลิตในพื้นที่  เชื่อมโยงกับกลุ่มต่าง ๆ ในอำเภอ  และเป็นวิทยากรด้านการทำไร่นาสวนผสม ด้านเศรษฐกิจพอเพียง  ด้านเกษตรทฤษฎีใหม่  แก่หน่วยงานต่าง ๆ

4. การขยายผลความสำเร็จของตนเองไปสู่ชุมชน  มีวิธีการ/รูปแบบอย่างไร  และเกิดผลสำเร็จอย่างไรบ้าง

- เปิดศูนย์เรียนรู้ที่บ้าน
- เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้
- เกษตรกรมาศึกษาดูงาน  และนำกลับไปปรับใช้ในพื้นที่การเกษตรของตนเอง

5. เจตนารมณ์ในการประกอบอาชีพการเกษตร

- ทำการเกษตรตามแนวทางศาสตร์พระราชา  เพื่อให้สามารถอุ้มชูตัวเองได้  และสร้างความมั่นคงด้านอาหาร

6. ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงเกษตรทฤษฎีใหม่ บ้านของนายทนงค์ แสงเกิด หมู่ที่  3ตำบลเขาย่า  อำเภอศรีบรรพต  จังหวัดพัทลุง   เปิดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีชุมชน วิถีวัฒนธรรมตนเขาย่า โดยจัดกิจกรรมเทศกาลกินปลาหมอ และการแข่งขันจับปลาหมอ เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน

ศูนย์เรียนรู้หมอดินอาสาประจำตำบล

รางวัลที่ได้รับ

- หมอดินอาสาดีเด่นชนะเลิศอันดับ 1 สาขาการใช้ประโยชน์หญ้าแฝกเพื่อการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน       
- หมอดินอาสาดีเด่นชนะเลิศ สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 12 สาขาการใช้ประโยชน์หญ้าแฝกเพื่อการเกษตร

จากสภาพพื้นที่เดิมเป็นพื้นที่ที่มีน้ำแช่ขัง  เมื่อได้เข้าร่วมโครงการจัดทำแปลงสาธิตงานจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ปรับรูปแปลงนาลักษณะที่ 3 ขุดคูยกร่อง ได้มีการนำหญ้าแฝกมาปลูกบริเวณคันคูยกร่อง และบริเวณขอบสันบ่อดักตะกอนดิน  เพื่อป้องกันกันชะล้างพังทลายของดิน ส่วนในบริเวณบนร่องคันดิน ใช้ปลูกพืชผักหมุนเวียนกันไป เช่น ถั่วฝักยาว บวบ มะระ ข้าวโพด พริกขี้หนู โดยตัดใบหญ้าแฝกมาคลุมโคนต้นพืชและบริเวณระหว่างร่องแปลงพืชผัก หลังจากใบหญ้าแฝกย่อยสลาย ดินในบริเวณดังกล่าวจะมีความร่วนซุยเพิ่มขึ้น และยังพบว่า พริกขี้หนูที่ปลูกคู่ขนานกับแนวหญ้าแฝก มีความอุดมสมบูรณ์ ต้านทานต่อโรค ให้ผลผลิตสูง และมีอายุในการให้ผลผลิตมากกว่าพริกขี้หนูที่ปลูกบริเวณอื่น ทำให้ยิ่งเกิดความสนใจและให้ความสำคัญกับหญ้าแฝกมากขึ้น มีการดูแลรักษา  ซ่อมแซมและปลูกเพิ่มเติมมาโดยตลอด ในการขยายพันธุ์หญ้าแฝก จะไม่ขุดหญ้าแฝกออกทั้งกอ  แต่จะขุดแยกจากกอเดิม ทำให้ไม่ต้องปลูกหญ้าแฝกบ่อยครั้ง ในแต่ละปีสามารถขยายพันธุ์หญ้าแฝกได้ 400,000 กล้า

ด้วยเป็นผู้ที่มีใจรักในการทำการเกษตร ได้พยายามแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่  ทำการขุดสระน้ำ  เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อการทำการเกษตร  มีการเลี้ยงสัตว์  โดยทำคอกหมู คอกไก่แบบสามารถโยกย้ายเคลื่อนที่ได้  รองพื้นคอกด้วยใบหญ้าแฝก  ทำให้ได้กองปุ๋ยหมักกระจายอยู่ในพื้นที่โดยทั่วถึง  ประหยัดเวลาและแรงงานได้เป็นอย่างดี  ได้พัฒนารูปแบบการปลูกและการใช้ประโยชน์จากหญ้าแฝก  โดยนำมาปลูกผสมผสานกับพืชหลักทางเศรษฐกิจ  ร่วมกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของกรมพัฒนาที่ดิน เช่น การใช้ปุ๋ยหมัก  น้ำหมักชีวภาพ  สารไล่แมลง  ทำให้สภาพดินมีความเหมาะสมกับการปลูกพืช  ลดการใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี เพิ่มผลผลิต  เพิ่มรายได้  ลดรายจ่ายให้กับครอบครัว  มีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้นตามลำดับ  นับเป็นบุคคลที่สมควรเป็นแบบอย่าง  เป็นผู้นำในการรณรงค์ส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ ในบริเวณหมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียง 

รูปภาพอาชีพท้องถิ่นภูมิปัญญาท้องถิ่น/ด้านการเกษตรผสมผสาน/เกษตรทฤษฎีใหม่  

ดาวน์โหลดเอกสาร

ศูนย์เรียนรู้ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรกร (ศพก.) เครือข่ายตำบลเวียงคำ

ศูนย์เรียนรู้ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรกร (ศพก.) เครือข่ายตำบลเวียงคำ
อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
(นางนิชากรณ์   เลิศฤทธิ์)



ศูนย์เรียนรู้ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรกร (ศพก.) เครือข่ายตำบลเวียงคำ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี  ตั้งอยู่ที่ บ้านเลขที่ 88 บ้านสวนมอนใต้ หมู่ที่ 13 ตำบลเวียงคำ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เป็นพื้นที่ของ นางนิชากรณ์  เลิศฤทธิ์ ประกอบอาชีพเกษตรกรและทุกคนในครอบครัวก็ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก  ก่อนหน้านี้ได้เข้าทำงานประจำในบริษัทเอกชนตำแหน่งจัดซื้อ นำเข้า-ส่งออก ในตำแหน่ง ผู้บริหารอาวุโส ดูแลงานจัดซื้อ ดูแลงานธุรการ ทั้งหมดของบริษัท เกิดความอิ่มตัวและเบื่อความวุ่นวายในเมือง ต้องการกลับมาใช้ชีวิตที่บ้าน ระหว่างนั้นได้ไปศึกษาเล่าเรียนหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ ศึกษาดูงานตามศูนย์และโครงการต่าง ๆ และได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อหลวงในรัชกาลที่ 9 เกี่ยวกับเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยิ่งทำให้มั่นใจ มุ่งมั่นที่จะดำเนินตามรอยพ่อพร้อมกับความรู้ที่เก็บเกี่ยวมาเต็มสมองพร้อมปฏิบัติลงมือทำ เปิดไฟเดินหน้าเต็มที่ จึงได้ลาออกจากงานประจำ หันหน้ามาสู่อาชีพใหม่ เกษตรกร โดยเริ่มต้นจากเลี้ยงไส้เดือนเพื่อทำปุ๋ยบำรุงพืช ผสมดินปลูก รองก้นหลุมก่อนปลูก ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก 

การเลี้ยงไส้เดือนฟาร์มของเราเริ่มต้นจากซื้อชุดทดลองมาเลี้ยงจำนวน 2 ชุด ลงทุนราคา  1,000 บาท จะเก็บผลผลิตและขยายพันธุ์ ทุก 30 - 45 วัน ทำให้ลดต้นทุนการซื้อปุ๋ยลงได้ถึง 50% มีเงินออมมากขึ้น นอกจากทำปุ๋ยใช้เองแล้วทางฟาร์มเรายังได้จำหน่ายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และมูลไส้เดือนเป็นรายได้เสริมอีกช่องทาง



ความพอประมาณ

ใช้จ่ายอย่างพอเพียง เริ่มจากทดลองและศึกษา ปัญหา วิธีการแก้ไข สู่การพัฒนาให้ยั่งยืน เช่น การเลี้ยงไส้เดือน เราเริ่มต้นจากชุดทดลองเลี้ยง 2 ชุด พร้อมศึกษา สังเกต อาหารเสริม การทำเบดดิ้ง สภาพอากาศที่เหมาะสม และคิดค้นพร้อมทดลองการนำอุปกรณ์เครื่องมือคัดแยกปุ๋ยมูลไส้เดือนและตัวไส้เดือน เพื่อลดระยะเวลาการทำงานให้เร็วขึ้น ส่วนผลลัพธ์คือปุ๋ยมูลไส้เดือนที่ได้เราก็นำไปบำรุงพืชผักในสวน ที่เหลือก็แจกและจำหน่ายให้เพื่อนบ้านทดลองใช้ ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อปุ๋ยเคมี ซื้ออาหาร (ผัก) ยังได้อาหารปลอดภัยไว้บริโภคในครอบครัวและในชุมชน


ความมีเหตุผล  

การทำเกษตรแบบอินทรีย์ จะต้องไม่ใช้สารเคมี ดังนั้นทางเราจึงหาปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพดี ต้นทุนต่ำมาแทน ซึ่งการเลี้ยงไส้เดือนสำหรับทำปุ๋ย จึงตอบโจทย์ในสิ่งที่เราต้องการ นอกจากใช้บำรุงพืช ผัก ต้นไม้แล้ว ยังสามารถนำมาผสมเป็นดินเพาะปลูก ใช้รองก้นหลุมก่อนปลูกได้ด้วย 


การมีภูมิคุ้มกันที่ดี  

จากการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อทำปุ๋ย ทำให้เราได้กินอาหารปลอดภัยที่มีประโยชน์มาก ไม่เจ็บป่วย มีภูมิคุ้มกันที่ดี ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนลง ไม่ว่าจะเป็นค่าปุ๋ย ค่าอาหาร ที่สำคัญที่สุดดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น การใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาพอเพียงทำให้เรามีอยู่มีกิน                     

ความรอบรู้ 

มีความรู้ ไม่ว่าจะได้จากการเรียน การศึกษาค้นคว้าจากเทคโนโลยี การอบรม การศึกษาดูงาน จากการปฏิบัติจริง แล้วนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ความมีคุณธรรม  

สำหรับอาชีพเกษตรกรยิ่งถ้าเป็นเกษตรอินทรีย์แล้วเราจะต้องมีคุณธรรมในด้านความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ขายสินค้าที่มีคุณภาพ ความอดทน และความอดกลั้น 

ผลที่ได้จากการดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง 

อยู่ดีกินดี ได้กินอาหารปลอดภัยมีประโยชน์ สุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคมากขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสามารถพึ่งพาตนเอง และยังส่งผลให้คนในชุมชนได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย ช่วยลดภาวะโลกร้อน ช่วยลดการจัดการขยะ ปรับสภาพดินให้มีธาตุอาหารและเกิดความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น

ความสำเร็จหรือความภูมิใจในการประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 

ครอบครัวมีอยู่มีกินได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย เหลือกินก็แบ่งปันผู้อื่นในชุมชน ถ้าเหลือกินเหลือแจกก็จำหน่ายช่วยเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว ที่สำคัญที่สุดดินมีความสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้พืชผักเจริญเติบโตงอกงาม ลดค่าใช้จ่ายการซื้อปุ๋ยเคมี ลดค่าใช้จ่ายสำหรับซื้ออาหาร มีเงินออมมากขึ้น 


ตำแหน่งที่ตั้ง : บ้านเลขที่ 88 หมู่ที่ 13 บ้านสวนมอนใต้ ตำบลเวียงคำ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี รหัสไปรษณีย์ 41110

การเดินทาง : ใช้เส้นทางบ้านท่าหนองเทา – บ้านสวนมอนใต้ เมื่อถึงสามแยกปากทางเข้าหมู่บ้านสวนมอนให้เลี้ยวขวาเข้าหมู่บ้านไปประมาณ 100 เมตร จะถึงทางเลี้ยวทางด้านขวาเลี้ยวเข้าไปประมาณ 200 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะถึงแหล่งเรียนรู้ การเลี้ยงไส้เดือน นางนิชากรณ์  เลิศฤทธิ์


ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางสาวอารียา  บุญแนะ
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวอารียา  บุญแนะ
ข้อมูล TKP อ้างอิง https://341udonthani.blogspot.com/2022/08/blog-post_57.html



“มหัศจรรย์ปุ๋ยหมักเติมอากาศ” โดยคุณบุญธรรม คชรินทร์

 “มหัศจรรย์ปุ๋ยหมักเติมอากาศ” โดยคุณบุญธรรม คชรินทร์

นายบุญธรรม  คชรินทร์
อายุ 62 ปี เป็นปราชญ์เกษตรตำบลตาขัน ด้านเศรษฐกิจพอเพียง ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 3 หมู่ที่ 7 บ้านหนองขนุน ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง 

นายบุญธรรม  คชรินทร์ ประสบปัญญาพิษเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 หลังจากนั้นจึงได้เกิดแนวคิดและแรงบันดาลใจที่จะหาแนวทางการแก้ไข เพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงการดำรงอยู่และปฏิบัติตนโดยมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะกับสิ่งเหล่านั้น ทำให้เกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ศักยภาพของครอบครัวตนเอง โดยเริ่มจากการผสมปุ๋ยเคมีใช้เอง การปลูกผัก การเลี้ยงปลา การเลี้ยงไก่ไข่ การทำเกษตรผสมผสานและการทำปุ๋ยหมักเติมอากาศ จนเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านในการทำเกษตรผสมผสาน 


ในปี พ.ศ. 2548 ได้ใช้พื้นที่บ้านของตนเองจัดตั้งเป็น “จุดเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ” บ้านหนองขนุน หมู่ที่ 7 ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง  เป็นศูนย์การเรียนรู้การทำเกษตรผสมผสาน ให้กับหน่วยงาน องค์กร ประชาชนหรือคนที่สนใจเรียนรู้ โดยแบ่งเป็นฐานการเรียนรู้ และฐานการเรียนรู้ที่โดดเด่นเป็นที่ให้ความสนใจของผู้ที่เข้ามาเรียน คือ “ปุ๋ยหมักเติมอากาศ”


  ฐานการเรียนรู้การปลูกข้าว      


ฐานการเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี


ฐานการเรียงหอยขมในบ่อซีเมนต์


ฐานการปลูกพืชในปลอกซีเมนต์


ฐานสวนมังคุดผิวมัน


“ปุ๋ยหมักเติมอากาศ” เป็นกระบวนการผลิตปุ๋ยหมักรูปแบบหนึ่งที่เน้นการผสมรวมกันระหว่างวัสดุอินทรีย์ที่ให้คาร์บอนและไนโตรเจน จากพวกซากพืช ซากสัตว์ และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร หลากหลายชนิด ขณะเดียวกันใช้วิธีเติมอากาศแทนการกลับกองปุ๋ย เพื่อรักษาสภาพอากาศในกองให้มีความเหมาะสมเพื่อเร่งกระบวนการย่อยสลายวัสดุอินทรีย์ โดยจุลินทรีย์ธรรมชาติในกองปุ๋ย 



เมื่อย่อยสลายสมบูรณ์แล้วจะแปรสภาพเป็นปุ๋ยหมัก ที่มีลักษณะสีดำคล้ำหรือสีน้ำตาลปนดำ ไม่มีกลิ่น มีคุณสมบัติที่ดีต่อรากพืช จนพบว่าผลผลิตที่ได้มีคุณภาพทัดเทียมกับปุ๋ยชนิดอื่น ที่สำคัญช่วยในเรื่องการลดต้นทุนได้มากกว่ามีการอบรมชาวบ้านให้ความรู้เพื่อทำ “ปุ๋ยหมักเติมอากาศ” มาใช้ในสวนผลไม้ของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอบ้านค่าย

วัตถุดิบที่ใช้ประโยชน์ในการผลิตที่เกิดจากภูมิปัญญา
“ปุ๋ยหมักเติมอากาศ” สามารถใช้วัสดุทางธรรมชาติของแต่ละพื้นที่ได้แต่ละพื้นที่ การใช้ซากพืช ซากสัตว์ (ขี้ไก่ แกลบ ขี้วัว ขุยมะพร้าว) มาใช้ในอัตรา 30 : 30 : 30 ทั้งนี้ หากพื้นที่อื่นไม่มีวัสดุดังกล่าว แต่อาจมีฟาง หญ้าแห้ง ใบไม้แห้ง ใบกระถิน ขี้ไก่ ขี้หมู ก็อาจปรับใช้ได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ขอให้ยึดอัตราส่วนตามมาตรฐานที่ทางกรมวิชาการกำหนดไว้ คือ 30 : 30 : 10 น้ำจากการหมักปุ๋ยเติมอากาศใช้สำหรับรดพืชผักหลังจากนั้นให้นำวัสดุทางธรรมชาติที่ได้ตามอัตราส่วนไปหมักด้วยระบบเติมอากาศ การหมักวัสดุเพื่อทำปุ๋ยแบบเดิมมีข้อเสียตรงที่ต้องหมั่นกลับกองปุ๋ย แต่สำหรับปุ๋ยหมักเติมอากาศจะใช้ลมเป่าเพื่อให้ออกซิเจนเติมเข้าไป เป็นการเร่งปฏิกิริยากระบวนการหมักให้เร็วแล้วได้ผลมากขึ้น “โดยพัดลมมีหน้าที่ระบายอากาศเพื่อให้อุณหภูมิการหมักลดลงเป็นการตั้งเวลาอัตโนมัติไว้ทุก 3 ชั่วโมง พัดลมจะทำงาน จำนวน 1 ชั่วโมง พอหลังจากหมักผ่านไป 3 วัน จะพบว่า มีหนอนเป็นจำนวนมากซึ่งบ่งบอกถึงความสมบูรณ์ ทั้งนี้ การหมักปุ๋ยใช้เวลาทั้งหมด 3 เดือน โดยให้กลับกองปุ๋ยเพียงครั้งเดียวในเดือนที่สอง กระทั่งเมื่ออุณหภูมิในกองปุ๋ยลดลงเท่ากับอุณหภูมิอากาศก็สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยในการปลูกพืชได้


จุดเด่นของ “ปุ๋ยหมักเติมอากาศ”  
ใช้วัตถุดิบที่มีในชุมชนในการหมักปุ๋ย สามารถนำมาใช้และสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้ ชาวบ้านเกษตรกรที่สนใจต้องการนำปุ๋ยหมักเติมอากาศไปใช้ในสวนของตัวเองอาจไม่จำเป็นต้องสร้างโรงปุ๋ยให้มีขนาดใหญ่แต่อาจพิจารณาตามความเหมาะสมของพื้นที่ แต่วัสดุที่ใช้ก่อสร้างอาจเป็นสิ่งของที่ประยุกต์หรือดัดแปลงของเหลือใช้ อย่างไม้ กระเบื้อง เพียงขอให้มีรูปร่างที่เป็นมาตรฐาน เพราะการทำปุ๋ยจำนวนไม่มาก ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากก็ได้ แต่ขณะเดียวกันจะได้ประโยชน์ที่คุ้มค่า แล้วใช้ไปได้นานในส่วนของกิจกรรมที่ศูนย์การเรียนรู้ได้จัดขึ้น


สนใจติดต่อ ขอความรู้เพิ่มเติมได้ที่ 
“จุดเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ”
บ้านหนองขนุน ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง 
โทรศัพท์ 08 7603 9454
Facebook : ศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ บ้านหนองขนุน ตำบลตาขัน 

ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางสาวสุกัญญา  อาจพงษา
                             ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวสุกัญญา  อาจพงษา
                                              อ้างอิง https://sites.google.com/view/takhann/













สุวรรณี บุญรอด ผู้นำวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลา

 


นางสุวรรณี บุญรอด อายุ 66 ปี ประกอบอาชีพ ค้าขาย/วิทยากร จบการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น เป็นภูมิปัญญาด้านการประกอบอาชีพ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลา โดยมีความรู้ ประสบการณ์ มากว่า 14 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 33 หมู่ที่ 5 ถนนโสธรวงแหวน ซอย 11 ตำบลโสธร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โทรศัพท์ 08 6300 0656/08 1267 5903

เดิมนางสุวรรณี บุญรอด ประกอบอาชีพเลี้ยงปลาและค้าขาย แต่ด้วยมีความสนใจ ใฝ่เรียนรู้ จึงศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อนำไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพ   ทั้งในด้านการเพิ่มช่องทางในการขาย การพัฒนาแปรรูปผลิตภัณฑ์ การเพิ่มมูลค่า โดยการจัดทำตราสัญลักษณ์ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ความปลอดภัยของผู้บริโภค สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลทำให้สามารถสร้างรายได้ และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาตนเองให้มีความรู้ ทักษะความสามารถในด้านอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่นางสุวรรณี บุญรอด มีความรู้ ทักษะ ความชอบและความถนัด จนประสบความสำเร็จ คือการแปรรูปปลา การทำอาหาร การทำขนมไทย เป็นต้น ทั้งจากการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง สอบถามผู้รู้ เข้าร่วมการประชุม การอบรมกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ  เช่น การประชุมใหญ่สามัญเครือข่ายธุรกิจ Biz Club ของจังหวัดฉะเชิงเทรา กิจกรรมให้ความรู้ด้านการตลาดภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต (SME STRONG/REGULAR LEVEL) และโครงการอบรมวิทยากรวิชาชีพการศึกษาต่อเนื่องกับ กศน.อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา และได้ทดลอง ฝึกปฏิบัติ ปรับปรุงพัฒนา จนมีความรู้ ทักษะ ประสบการณ์เพิ่มขึ้น รวมทั้งความมุ่งมั่นตั้งใจ ความเพียรพยายาม นางสุวรรณี บุญรอด เป็นผู้มีองค์ความรู้และทักษะในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากปลามากมาย เช่น แหนมปลา ปลาร้า ปลาส้ม ปลายอ ไส้กรอกปลาสมุนไพร ปลาแดดเดียวไร้ก้าง/มีก้าง จ๊อปลา ปลาเส้นหวาน ข้าวเกรียบปลาทู เป็นต้น




นางสุวรรณี บุญรอด เป็นบุคคลต้นแบบในการพัฒนาตนเอง แสวงหาความรู้ที่แปลกใหม่  มีความคิดสร้างสรรค์ และฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง สามารถนำองค์ความรู้ที่มีมาปรับใช้ในการประกอบอาชีพ เมื่อตนเองประสบความสำเร็จแล้ว มีความต้องการพัฒนาอาชีพให้กับคนในชุมชน โดยมีแนวคิดที่ว่าพื้นที่ตำบลโสธร มีประชาชนส่วนหนึ่งประกอบอาชีพเลี้ยงปลา ประสบปัญหาราคาปลาตกต่ำ ยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี สินค้าต่าง ๆ ทยอยขึ้นราคา ไม่ว่าจะเป็นอาหารปลาหรือวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ จากปัญหาดังกล่าว นางสุวรรณี บุญรอด จึงเกิดความคิดเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากปลาขึ้น ผสมผสานกับการนำวัตถุดิบต่าง ๆ ที่มีในชุมชนมาแปรรูปให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า รวมทั้งเป็นผู้นำในการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาตำบลโสธร เพื่อให้เกิดระบบการรวมกลุ่ม การบริหารจัดการที่เป็นธรรม สร้างความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพของคนในชุมชน เพิ่มช่องทางการตลาด ช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ในช่องทาง Social Media Facebook Line และออกบูธเพื่อประชาสัมพันธ์และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “สุวรรณี”  เช่น ตลาดเกษตรกรจังหวัดฉะเชิงเทรา องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นต้น




นางสุวรรณี บุญรอด ได้ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ให้กับประชาชนผู้สนใจ และเป็นวิทยากรให้กับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น วิทยากรโครงการพัฒนาสินค้าเกษตรปลอดภัยสูง กิจกรรมพัฒนาการแปรรูปปลานิลให้ได้มาตรฐาน จัดโดยสำนักงานประมงจังหวัดฉะเชิงเทรา วิทยากรการจัดกิจกรรมการศึกษาต่อเนื่อง กศน.อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา วิทยากรฝึกอบรมอาชีพให้กับองค์การบริหารส่วนตำบลต่าง ๆ เป็นต้น








สถานที่ ที่ตั้ง (พิกัด) ของผู้เป็นภูมิปัญญา
ที่อยู่บ้านเลขที่ เลขที่ 33 หมู่ที่ 5 ถนนโสธรวงแหวน ซอย 11 ตำบลโสธร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา รหัสไปรษณีย์ 24000 
โทรศัพท์ 08 6300 0656/08 1267 5903 
Facebook : https://www.facebook.com/suwannee.fish/
Line : https://lin.ee/RpzUQDB (@670snqrn)
พิกัด 13.6773417, 101.0272179 


ข้อมูลเนื้อหา โดย นางสุวรรณี บุญรอด
เรียบเรียงเนื้อหา โดย นางสาวกัญญาภัค เพ็ญภาค
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสุวรรณี บุญรอด
ข้อมูล TKP อ้างอิง https://424chachoengsao.blogspot.com/2020/08/blog-post_813.html







ภูมิปัญญา “ทฤษฎีแหล่งเรียนรู้แบบเศรษฐกิจพอเพียง จากมะเหมี่ยวฟาร์ม”

 ภูมิปัญญา “ทฤษฎีแหล่งเรียนรู้แบบเศรษฐกิจพอเพียง จากมะเหมี่ยวฟาร์ม”

มะเหมี่ยวฟาร์มไส้เดือน ของนางสาวศิริพร สรณะ ขับเคลื่อนกระบวนการทำงานโดยใช้หลักแนวทางการดำเนินชีวิตตามหลักทฤษฎีของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยยึดแนวทาง “อยู่อย่างพอเพียง” โดยนำพระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง  “...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (18 กรกฎาคม 2517)  มาปรับใช้กับตนเองและครอบครัว รวมถึงสมาชิกในกลุ่มเครือข่าย โดยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ เริ่มจากตนเองและครอบครัว ทำให้พอมีพอกินก่อนจากนั้นจึงตามด้วยชุมชน โดยใช้แนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นคง ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่ชาวไทยมาโดยตลอดและได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง ความพอเพียง  ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี


โดยนางสาวศิริพร สรณะ ได้กล่าวว่า ตั้งแต่ตนและครอบครัวได้นำหลักแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้นั้น ได้สร้างความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวอย่างมาก เนื่องจากการรู้จักอยู่อย่างพอเพียง พอประมาณนั้นไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเอง มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย อยู่ให้ได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมภายในชุมชน รู้จักผลิตใช้เอง แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ โดยไม่พึ่งปัจจัยภายนอก แต่ให้พึ่งปัจจัยจากภายใน สิ่งรอบตัว นำมาประยุกต์ใช้ นอกจากจะประหยัดแล้ว ยังเพิ่มพูนความรู้แก่ตนเอง ครอบครัวและชุมชนอีกด้วย อยู่ได้อย่างมีสุข ภายใต้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องแสวงหาภายนอก แต่ความสุขนั้นเริ่มได้จากตนเอง 

หากท่านใดสนใจวิถีชีวิตแบบพอเพียงตามแบบอย่างของนางสาวศิริพร สรณะ โดยวิธีการพึ่งพาตนเอง ยึดหลักพออยู่ พอกิน พอใช้ ความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่าย ลดความฟุ่มเฟือย ในการดำรงชีวิต สามารถนำหลักทฤษฎีของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ ยังสามารถไปศึกษาค้นคว้า หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ต่าง ๆ กับนางสาวศิริพร สรณะ ที่แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญา “มะเหมี่ยวฟาร์มไส้เดือน” ได้ทุกวัน เพราะนอกจากความรู้เรื่องหลักทฤษฎีของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้ว ยังมีการจำลองตัวอย่างของการใช้ชีวิตแบบพอเพียงให้ได้ดูอีกด้วย ซึ่งนางสาวศิริพร สรณะ กล่าวว่า ยินดีอย่างยิ่งที่จะมอบความรู้และแนะนำอาชีพให้กับผู้ที่สนใจจะเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย หรือทำอาชีพเสริม ก็ยินดีที่จะส่งเสริม เนื่องจากอยากให้ผู้ที่สนใจได้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองอย่างแท้จริง

สุดท้ายนี้หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อได้ที่ “มะเหมี่ยวฟาร์มไส้เดือน” เลขที่ตั้ง 97/4 
หมู่ที่ 6 ต.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี 22140 หรือโทร 08 6078 7712  ได้ทุกวัน ภายในชุมชนตำบล
โป่งน้ำร้อน ขับเคลื่อนโดย นางสาวศิริพร สรณะ ภูมิปัญญาชาวบ้านประจำแหล่งเรียนรู้ เป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ให้กับชาวบ้านในชุมชน ประเภทบุคคลทั่วไปที่อยู่ในชุมชนตำบลโป่งน้ำร้อน
ซึ่งสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ทั้งด้านอาชีพ การใช้ชีวิตในวิถีพอเพียง โดยมีฐานการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้เรียนรู้ พร้อมสถานที่อุปกรณ์ และแนวทางการแนะนำสิ่งดี ๆ ให้กับผู้ที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมแห่งเรียนรู้

“ความเจริญของคนทั้งหลายย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบ และการหาเลี้ยงชีพชอบเป็นสำคัญ” เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเช่นผู้อื่น เพราะเราจะหลงติดกับวัตถุชีวิต โดยจะอยู่ในกิจกรรม “ออมวันนี้ เป็นเศรษฐีวันหน้า” 

ผู้เรียบเรียง นางสาวอมรรัตน์ บุญเพ็ง ครู กศน.ตำบล
ข้อมูลอ้างอิง นางสาวศิริพร สรณะ เจ้าของแหล่งเรียนรู้
ข้อมูลรูปภาพ Facebook มะเหมี่ยวฟาร์มไส้เดือน https://www.facebook.com/Jkosalanan
แหล่งข้อมูลจาก เว็บไซต์ มูลนิธิชัยพัฒนา
https://www.chaipat.or.th/site_content/item/3579-2010-10-08-05-24-39.html






ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย TKP

 
Copyright © 2018 Thailand Knowledge Portal. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand