TKP HEADLINE

Showing posts with label 01.อาชีพ. Show all posts
Showing posts with label 01.อาชีพ. Show all posts

“จักสานพนัสนิคม” จังหวัดชลบุรี

 อาชีพท้องถิ่น “จักสานพนัสนิคม” จังหวัดชลบุรี

อำเภอพนัสนิคม เป็นชุมชนเก่าแก่ที่รุ่งเรืองมากกว่า 1,000 ปี มาแล้ว  “พนัสนิคม” มีความหมาย มาจาก พนัส ที่แปลว่า ป่า คำว่า นิคม แปลว่า หมู่บ้านใหญ่หรือตำบลพนัสนิคม แปลใจความได้ว่า หมู่บ้านใหญ่หรือตำบลที่มีภูมิประเทศเป็นป่า และเป็นเมืองที่มีไม้ไผ่อย่างอุดมสมบูรณ์  ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3) มีผู้นำชาวลาวที่มีความคุ้นเคยและนำไม้ไผ่มาจักสานเป็นผลิตภัณฑ์ จึงเกิดอาชีพจักสานพร้อมๆกับการตั้งชุมชน เครื่องจักสานพนัสนิคม เป็นเครื่องจักสานที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม ไทย ลาว จีน  นับเป็นการผสมผสานความรู้จากภูมิปัญญา ที่ทรงคุณค่ายิ่ง


ชาวบ้านในอำเภอพนัสนิค จะจักสานไม้ไผ่ไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน  จักสานเครื่องมือ เครื่องใช้ในครัวเรือน อุปกรณ์ดักจับสัตว์น้ำ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น กระจาด กระบุง ไซ ตะกร้า กระด้ง ชะลอม เป็นต้น นับว่าเป็นอาชีพที่ทำควบคู่กันมาพร้อมกับอาชีพทำนา และเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับครอบครัว ทั้งยังอนุรักษ์อาชีพเดิมให้ยังคงอยู่คู่ชุมชน

ในปัจจุบันอาชีพจักสานของชาวพนัสนิคม  ได้มีการพัฒนาฝีมือและรูปแบบขึ้น จากเดิมเป็นการจักสานจากธรรมชาติ ต่อมาเริ่มมีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ก็ได้ประดิษฐ์คิดค้นลายใหม่ๆ ที่สวยงาม ผสมผสานรูปทรง ใช้ความประณีตทางศิลปหัตถกรรม ตอบสนองผู้บริโภค โดยการนำวัสดุอื่นมาประกอบให้ได้งานที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค หรือให้เป็นทางเลือกใหม่  เช่น การบุผ้าเครื่องจักสาน การจักสานหุ้มเซรามิค  มีการรวมกลุ่มของชาวบ้านในการทำจักสาน สู่การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และออกบูทแสดงสินค้า เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์งานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของพนัสนิคมให้เป็นที่รู้จักของตลาดอย่างกว้างขวาง 


ทั้งนี้ อาชีพจักสานยังไม้ไผ่ ยังส่งเสริมการนำวัตถุดิบในพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สนองตามพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง  เรียนรู้ถึงการอนุรักษ์ และพัฒนาอาชีพเดิมให้มีคุณค่าอยู่เสมอ และยังคงเจตนาสืบสานมรดกทางวัฒนธรรม โดยปราชญ์ผู้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะในการจักสานที่ประณีต สวยงาม มีประสบการณ์ด้านการจักสาน ที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้และฝึกฝน จากบรรพบุรุษ  ถ่ายทอดองค์ความรู้ จากรุ่นสู่รุ่น เป็นการอนุรักษ์อาชีพช่างจักสาน ผู้มีเจตนารมณ์ที่จะอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน อันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นแต่เดิมมาให้คงอยู่สืบไปสู่ลูกหลาน  

ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางพิรุฬห์พร  ทำทอง  ครูผู้ช่วย
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางพิรุฬห์พร  ทำทอง ครูผู้ช่วย

ขนมจีน เส้นสด แม่สมใจ

ขนมจีน เส้นสด แม่สมใจ
นางสมใจ คงศิริ หรือ ป้าแอ๊ด ปัจจุบันอายุ 67 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 31 หมู่ที่ 4 ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ทำอาชีพ ขายขนมจีนนี้มาช้านานสืบทอด มาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเวลาร่วม 50 ปี มาแล้ว นับว่าเป็นขนมจีนเจ้าเก่าแก่แห่งหนึ่งของตำบลเชิงเนินที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนในพื้นที่ตำบลเชิงเนิน ขั้นตอนในการทำ ขนมจีน ป้าแอ๊ดจะใช้เตาฟืนในการต้มแป้ง เพื่อนำไปเข้าเครื่องโรยเส้นและใช้คนงานจับเส้นขนมจีนประมาณ 6-7 คน ต่อวัน จุดเด่นของขนมจีนป้าแอ็ด คือความสดใหม่ เน้นการทำเส้นขนมจีนวันต่อวัน ทุกขั้นตอนการทำป้าแอ็ด คำนึงถึงความสะอาดเป็นอันดับหนึ่ง


 
ขนมจีนเป็นผลิตภัณฑ์จากข้าวที่มีผู้นิยมรับประทานกันมาก พบได้ทุกหนทุกแห่งในประเทศไทย นับตั้งแต่ชนบทจนถึงเมืองใหญ่ นับตั้งแต่หาบเร่ แผงลอยจนถึง ร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม งานบุญและงานพิธี ทำให้ดูเหมือนคนไทยขาดขนมจีนไม่ได้ การที่ขนมจีนเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางนั้น เนื่องมาจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปรุงรสได้หลายแบบ ทำให้ไม่เบื่อที่จะรับประทาน นอกจากนี้ยังสามารถดัดแปลงให้เข้ากับระบบการรับประทานของท้องถิ่นได้ดี แต่ความจริงแล้วขนมจีนได้ชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวที่ให้สารอาหารครบ  ตัวขนมจีนเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต เครื่องปรุงรส เช่น น้ำยา น้ำพริก แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน แกงขี้เหล็ก ให้ไขมันและโปรตีน ส่วนเครื่องเคียง เช่น ถั่วงอก มะระ โหระพา .ใบแมงลัก พริกชี้ฟ้า ถั่วฟักยาว ให้วิตามินและเกลือแร่ป้าแอ็ดจะทำขนมจีน ตั้งแต่ตี 3 เพื่อมาทำเส้นขนมจีน ผลิตจากแป้งสดไม่มีการหมัก มีเนื้อก่อนข้างกระด้าง สีขาวและไม่มีกลิ่นหมักวัดถุดิบที่ใช้ผลิต คือ

1. ข้าว รายละเอียดเกี่ยวกับข้าวที่ใช้ผลิตขนมจีนมีค่อนข้างจำกัด จากการไต่ถามผู้ประกอบอาชีพนี้ระดับชาวบ้าน ระดับอุตสาหกรรมในครัวเรือน และระดับโรงงานต่างก็มีความเห็นแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามก็พอสรุปได้ว่า ขนมจีนนั้นไม่ต้องการความเหนียวมากนัก แต่ต้องการความนุ่มมากกว่าการเลือกข้าวที่ใช้จึงต้องพิถีพิถัน
2. น้ำ น้ำที่ใช้ผลิตควรเป็นน้ำสะอาด ถ้าเป็นน้ำประปาไม่ควรมีคลอรีนมากเกินไปจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นผิดปกติ ถ้าใช้น้ำขุ่นจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีสีคล้ำ
3. เกลือ เกลือที่ผสมในขนมจีนใช้เพื่อป้องกันการเน่า เพิ่มรส และลดความเปรี้ยวของขนมจีน อาจเป็นเกลือสมุทรหรือเกลือสินเธาว์ก็ได้ แต่ควรมีความขาว และบริสุทธิ์มากพอ
4. สีผสมอาหาร ในบางครั้งการทำขนมจีนอาจต้องการเพิ่มสีสันให้แก่ขนมจีน เช่น สีชมพู สีเหลือง สีม่วง และสีเขียว เป็นต้น เพื่อให้ขนมจีนมีสีสันที่น่ารับประทานมากขึ้น และช่วยดึงดูดความสนใจในทางการตลาดได้อีกทาง

ขั้นตอนการทำขนมจีน
ป้าแอ็ดจะใส่ใจรายละเอียดทุกขั้นตอนในการทำเส้นขนมจีน ต้องรักษาความสะอาด เส้นขนมจีนจะสดใหม่ทุกคน จะได้รับความนิยมจากแม่ค้าขายปลีกในตลาด มารับซื้อไปขายต่อในราคาส่ง จึงมีออเดอร์ในการผลิตเส้นขนมจีนทุกวัน และขายหมดทุกวัน มีกระบวนการทำ คือ
1.การทำความสะอาด และแช่ข้าวเป็นขั้นตอนแรก ที่ต้องใส่ใจมาก ด้วยการนำข้าวมาแช่น้ำ และล้างทำความสะอาด โดยเฉพาะสิ่งปนเปื้อนที่มักลอยอยู่ชั้นบนหลังแช่ข้าวในน้ำ ไม่ให้มีสิ่งสกปรกลงไปในข้าวแช่ หลังล้างเสร็จให้แช่ข้าวสักพัก ก่อนนำเข้าขั้นตอนการหมัก
2. การหมักข้าว การหมักข้าวเป็นกระบวนการที่ใช้จุลินทรีย์เข้าช่วยย่อยแป้ง และทำให้เกิดกลิ่น ด้วยการหมักข้าวทั้งแบบแห้ง และแบบแช่น้ำ แต่ทั่วไปนิยมหมักแห้งมากที่สุด การหมักแห้งเป็นวิธีการหมักที่ไม่ต้องแช่ข้าว แต่จะให้น้ำแก่เมล็ดข้าวเป็นช่วง ๆ เพื่อให้แป้งในเมล็ดข้าวมีการดูดซับน้ำ เกิดภาวะเหมาะสมของจุลินทรีย์ และทำให้นำมาบดได้ง่ายขึ้น ขั้นตอนการหมักมี ดังนี้
นำข้าวที่ล้างทำความสะอาดเสร็จแล้ว และแช่ได้เหมาะสมแล้ว ใส่ในภาชนะที่มีรูให้น้ำไหลผ่านได้ เช่น ตะกร้าไม้ไผ่ ตะแกรงลวด เป็นต้น การหมักจะเป็นการให้น้ำแก่เมล็ดข้าวทุกวันแบบไม่มีการแช่ ซึ่งมักจะหมักนาน 2-3 วัน
เมื่อหมักข้าวครบตามวันที่ต้องการ ให้สังเกตข้าวที่พร้อมนำมาใช้ ซึ่งจะมีลักษณะเม็ดพองโต มีสีใสออกคล้ำเล็กน้อย เมื่อบีบจะเปื่อยยุ่ยง่าย มีกลิ่นแรงจากการหมัก ซึ่งถือว่าลักษณะเหล่านี้เหมาะสำหรับนำมาบดขั้นต่อไป
3. การบดข้าว เป็นขั้นตอนนำข้าวมาบดผ่านเครื่องบดเพื่อให้เมล็ดข้าวแตกเป็นผงขนาดเล็ก โดยมักบดขณะที่ข้าวอิ่มน้ำ ร่วมกับเติมน้ำขณะบด โดยข้าวที่บดจะแตกเป็นผงละลายมากับน้ำ ผ่านผ้าขาวสำหรับกรองให้ไหลลงตุ่ม ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจเติมเกลือประมาณ 4 ส่วน สำหรับป้องกันการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
4. การนอนแป้ง การนอนแป้งเป็นขั้นตอนที่ใช้ในระดับครัวเรือน ด้วยการแช่น้ำแป้งให้ตกตะกอน น้ำแป้งส่วนบนจะมีสีเหลือง และสิ่งปนเปื้อนสีดำคล้ำจะลอยอยู่บนสุด ในขั้นตอนนี้จะทำการล้างน้ำแป้ง ด้วยการให้น้ำ และปล่อยให้ตกตะกอน ซึ่งจะทำให้แป้งขาวสะอาด และมีกลิ่นน้อยลง
5. การทับน้ำหรือการไล่น้ำขั้นตอนนี้เป็นวิธีการกำจัดน้ำออกจากน้ำแป้ง ด้วยการนำน้ำแป้งใส่ผ้าขาวที่มัดห่อให้แน่น แล้วนำของหนักมาทับเพื่อให้น้ำไหลซึมผ่านออก ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 วัน หลังจากนั้นจะได้ก้อนแป้งที่มีน้ำประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์
6. การต้มหรือนึ่งแป้ง เป็นขั้นตอนที่ทำให้แป้งสุกประมาณ 25-35 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น เพื่อไม่ให้แป้งเหนียวมากเกินไป ใช้วิธีการนึ่งปั้นแป้งเป็นก้อนๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-25 ซม. นำใส่เสวียนหย่อนลงต้มในน้ำเดือด โดยให้แป้งสุกเข้าด้านในประมาณ 1-3 ซม. เท่านั้น อย่าให้แป้งสุกลึกมาก เพราะจะทำให้โรยเส้นได้ยาก
7. การนวดแป้ง เป็นขั้นตอนการนำก้อนแป้งมาบี้ให้ส่วนแป้งสุก และแป้งดิบผสมกัน ซึ่งอาจใช้มือหรือเครื่องจักรหรือครกไม้สำหรับชาวชนบท โดยสังเกตเนื้อแป้งขณะนวด หากแป้งแห้งมากให้ผสมน้ำร้อน หากแป้งเหนียวติดกันมากให้ผสมแป้งดิบ ก้อนแป้งที่เหมาะสำหรับโรยเส้นนั้น ผสมข้าวประมาณ 1 กิโลกรัม ที่ทำให้ได้ก้อนแป้งเหลวหนักประมาณ 3-3.5 กิโลกรัม มีลักษณะเป็นก้องแป้งอ่อนออกเหลวเล็กน้อย ในขั้นตอนการนวดแป้ง หากต้องการเพิ่มสีสันขนมจีนให้มีสีต่างๆจะทำในขั้นตอนนี้ ด้วยการเทสีผสมอาหารผสมลงนวดพร้อมก้อนแป้งให้มีสีเนื้อเข้ากัน



8. การกรองเม็ดแป้ง ในบางครั้งแป้งสุกอาจจับเป็นก้อนในขั้นตอนการนวดแป้ง หากนำไปโรยเส้นอาจทำให้เส้นขนมจีนไม่ต่อเนื่องได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกรองแป้งหลังนวดด้วยผ้าขาวเสียก่อนเพื่อกำจัดก้อนแป้งสุกออกไปให้หมด
9. การโรยเส้น การโรยเส้นเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ขนมจีนเป็นเส้น ด้วยการบีบดันก้อนแป้งเหลวให้ไหลผ่านรูขนาดลงในน้ำเดือดเพื่อทำให้เส้นสุก โดยยังคงรูปเส้นเหมือนเดิม โดยจะใช้แว่นจะมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะทรงกลมที่มีรูขนาดเล็กจำนวนมาก แว่นนี้จะถูกเย็บติดแน่นกับถุงผ้าที่ใช้สำหรับใส่ก้อนแป้งเหลว หลังจากนั้น รวบปลายผ้าเข้าหากัน และบีบดันแป้งให้ไหลผ่านรูลงหม้อต้มเมื่อบีบเส้นลงหม้อต้มแล้ว ให้พยายามรักษาความร้อนให้คงที่ และรอจนกว่าเส้นขนมจีนจะลอยตัวจึงใช้ตะแกรงหรือกระชุตักขึ้นมา
10. การทำให้เย็น และจัดเรียงเส้น เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทำขนมจีน ภายหลังจากต้มเส้นให้สุกลอยขึ้นด้านบนหม้อแล้ว ต่อมาจะใช้ตะแกรงหรือกระชุตักเส้นขนมจีนขึ้นมา แล้วจุ่มลงน้ำเย็นทันที รอจนเส้นเย็นพร้อมสามารถใช้มือจับได้ เมื่อเส้นเย็นให้ใช้มือข้างที่ถนัดจับเส้นขึ้นมาพันรอบฝ่ามืออีกข้างที่วางในแนวตั้ง จนกระทั่งหมดความยาวเส้น พร้อมวางใส่ภาชนะบรรจุหรือตะแกรงที่มีช่องให้น้ำไหลผ่านได้ และเป็นภาชนะที่พร้อมส่งจำหน่ายได้ทันทีหรืออาจวางเรียงให้แห้งก่อนค่อยจัดเรียงในภาชนะจำหน่าย ทั้งนี้ พยายามเรียงเส้นให้เป็นแนวสม่ำเสมอ

ปัจจุบันป้าแอ๊ดได้ใช้แป้งสำเร็จในการทำขนมจีน ซึ่งทำให้ลดขั้นตอนการผลิต และง่ายต่อการทำเส้นขนมจีน ป้าแอ๊ดทำขนมจีนส่งลูกค้าประจำและขายปลีกด้วย ปริมาณวันละ 500-800 กิโลกรัม ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 22-25 บาท ต่อกิโลกรัม ใช้เวลาในการทำต่อวันประมาณ 8 ชั่วโมง เริ่ม จากเวลา 03.00-10.00 น. ขายทั้งปลีก และส่ง โดยส่งให้กับแม่ค้าที่มารับไปขายในตลาดและขายหน้าบ้าน ชื่อร้านว่า บ้านขนมจีน แม่สมใจ (ท.บริการ) และปัจจุบันป้าแอ๊ดได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาอาชีพของตนให้กับลูกสาวของท่าน เป็นผู้สืบทอดกิจการต่อไป


ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียน โดย นางสาวชริสรา เคหาวิตร
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวชริสรา เคหาวิตร





อาชีพการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม

 

อาชีพการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม

กุ้งก้ามกราม โดยธรรมชาติสามารถพบเห็นได้ตามแม่น้ำลำคลองแทบทุกจังหวัดในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งสมัยก่อนนั้นกุ้งชนิดนี้ค่อนข้างชุกชุมจับได้ง่าย ชาวบ้านนำมาประกอบอาหารตามครัวเรือน หรืออาจจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านทั่วไปที่ไปจับหา แต่ด้วยสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้กุ้งก้ามกรามที่อยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติมีจำนวนลดน้อยลงทำให้ปริมาณที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จึงทำให้เกิดการเลี้ยงเป็นเชิงการค้ามากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค 


ชาวบ้านโนนหัวช้าง หมู่ที่ 13 บ้านโนนภักดี หมู่ที่ 9 ตำบลนาเชือก อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เกษตรกรผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงปลา ได้บูรณาการอาชีพท้องถิ่นดั้งเดิมจากการเลี้ยงปลา หันมาประกอบอาชีพเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ตามบริบทของพื้นที่ทำกินที่มีพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำสำคัญที่มีคลองชลประทานไหลผ่านจากเขื่อนลำปาว


นายเคน  มังครุดอน และ  นางราศรี  มังครุดอน หนึ่งในเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกราม สามีภรรยาชาวบ้านโนนภักดี ผู้ริเริ่มการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามน้ำจืด ในพื้นที่ ตำบลนาเชือก อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยเมื่อ ปี พ.ศ. 2530 มีตัวแทนเกษตรกรผู้จำหน่ายพันธุ์ลูกกุ้งจากภาคกลางมาสำรวจข้อมูลในการหาเกษตรกรผู้ที่สนใจเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ในพื้นที่ตำบลนาเชือก ซึ่งมีบริบทติดกับเขื่อนลำปาว เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการเลี้ยงสัตว์น้ำ และมีคลองชลประทานไหลผ่านและแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ตลอดทั้งปี 

ซึ่งนายเคน  มังครุดอน และภรรยาได้สนใจในการนำพันธุ์ลูกกุ้งมาทดลองเลี้ยง จนประสบผลสำเร็จในการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม สร้างรายได้ให้กับครอบครัวอยู่ดีกินดี จนปัจจุบัน และได้มีสมาชิกเกษตรกรในพื้นที่สนใจและหันมาเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในพื้นที่เกือบทุกหลังคาเรือน สร้างรายได้ให้กับครอบครัว เป็นอาชีพหลักของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกราม ชาวตำบลนาเชือก อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์จวบจนปัจจุบัน


สถานที่ตั้ง ผู้ประกอบอาชีพ
ชื่อฟาร์มกุ้ง : พิสิษฐ์ฟาร์ม
บ้านเลขที่ 104 หมู่ที่ 9 บ้านโนนภักดี ตำบลนาเชือก อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 46120

กระบวนการขั้นตอนการผลิต
การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามทำได้หลายวิธี เช่น เลี้ยงในกระชัง เลี้ยงในคอกเฝือก หรือที่ล้อมขังในร่องสวน และในบ่อ แต่ถ้าจะเลี้ยงให้ได้ผลจริงจังแล้ว ควรเลี้ยงในบ่อดิน ปัญหาที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงกุ้งก้ามกราม คือ น้ำ ดังนั้น ในการพิจารณาสถานที่ที่จะเลี้ยงกุ้ง จึงต้องพิจารณาหาแหล่งน้ำที่มีอยู่ใกล้ ๆ เช่น แม่น้ำ ลำธาร คลองที่มีน้ำไหลผ่านตลอดปี และน้ำนั้นจะต้องมีคุณภาพดี มีค่าความเป็นกรด-ด่าง ระหว่าง 7.5–8.5 ปลอดสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม และดินจะต้องสามารถเก็บกักน้ำได้ ไม่ควรเป็นดินทราย หรือดินที่มีทรายเกินกว่าร้อยละ 30 เพราะจะมีปัญหาในการเก็บกักน้ำในฤดูแล้ง ซึ่งถ้าจะแก้ไขจะต้องลงทุนสูง อีกประการหนึ่งที่จะต้องพิจารณาด้วย คือ การคมนาคม ถ้าอยู่ใกล้ทางคมนาคมติดต่อสะดวก การขนส่งไม่ทำให้ลูกกุ้งบอบช้ำมาก สามารถจับกุ้งส่งตลาดได้รวดเร็ว กุ้งไม่เสื่อมคุณภาพ และราคาไม่ตก ในบางแห่งอาจใช้น้ำบาดาลเลี้ยงกุ้งก็ได้ แต่ต้องลงทุนสูง สำหรับการเลี้ยงในร่องสวน หรือในที่ล้อมขัง ที่มีน้ำอยู่แล้ว และไม่สามารถสูบน้ำออกหมดได้ ก่อนปล่อยกุ้ง ต้องฆ่าปลาที่มีอยู่เดิมออกให้หมด มิฉะนั้น ปลาเหล่านี้อาจแย่งอาหาร หรือกินลูกกุ้งได้

การเตรียมบ่อ
ถ้าเป็นบ่อเก่า หรือร่องสวนที่มีอยู่เดิม ให้ปรับแต่งคันบ่อให้สูงพ้นระดับน้ำท่วม ถ้าก้นบ่อมีดินเลน ต้องขุดลอกออก แล้วตากบ่อ และโรยปูนขาว ถ้าเป็นที่ใหม่ยังไม่ได้ขุดบ่อ จะต้องวางผังให้ถูกต้อง ขั้นตอนแรกจะต้องตรวจสอบระดับดินว่า พื้นเรียบ และน้ำท่วมหรือไม่ เพื่อจะได้กำหนดระดับขอบคันบ่อให้พ้นน้ำไว้ การวางผังบ่อจะต้องให้ด้านยาวมากกว่าด้านกว้าง และยาวไปตามทิศทางของลม คือ จากเหนือไปใต้ ขนาดของบ่อไม่ควรจะเล็กหรือใหญ่เกินไป ควรมีขนาด 1-5 ไร่ กว้าง 25-30 เมตร เพราะถ้าเล็กเกินไปจะเลี้ยงกุ้งได้น้อย ระดับความลึก 80-100 เซนติเมตร ให้คันบ่อมีความลาด 1:2 หรือ 1:3 ความกว้างบนคันบ่อไม่ควรต่ำกว่า 3 เมตร พร้อมทั้งบดอัดคันบ่อให้แน่น เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม และใช้ปลูกต้นไม้เป็นร่มเงาได้ ขอบบ่อควรปลูกหญ้าคลุมดิน เพื่อป้องกันคันดินขอบบ่อพัง ตรงท้ายบ่อควรปักไม้ไผ่ หรือปลูกพืชลอยน้ำ เช่น ผักบุ้ง หรือผักตบชวาไว้รอบ ๆ เพื่อลดการปะทะของคลื่นลม และเป็นที่หลบซ่อนของกุ้งด้วย

การเลี้ยง

ก่อนปล่อยลูกกุ้งต้องสูบน้ำเข้าบ่อไว้ก่อน 1 วัน ถ้าเป็นบ่อใหม่ ไม่ควรสูบน้ำใส่บ่อนาน เพราะจะทำให้แมลงปอมาไข่ และเกิดตัวอ่อน ซึ่งสามารถจับลูกกุ้งกินได้ ถ้าเป็นบ่อเก่าที่เลี้ยงอยู่แล้ว ควรใช้อวนมุ้งไนล่อนสีฟ้า กั้นเป็นคอกภายในบ่อไว้ส่วนหนึ่ง สำหรับอนุบาลลูกกุ้งระยะหนึ่ง ประมาณ 1 เดือน
ในกรณีที่เลี้ยงกุ้งอย่างเดียว และมีน้ำถ่ายเทดี ควรปล่อยกุ้งในอัตราส่วน 15-30 ตัวต่อตารางเมตร เมื่อกุ้งมีอายุได้ประมาณ 2-3 เดือน จึงคัดกุ้งที่มีขนาดใกล้เคียงกันไปเลี้ยงในบ่อเดียวกัน ในอัตราส่วน 5-10 ตัวต่อตารางเมตร หลังจากการคัดขนาดแล้ว มีอัตราการเจริญเติบโตที่ใกล้เคียงกัน ถ้าน้ำถ่ายเทไม่มาก ต้องลดจำนวนลงเหลือ 3-5 ตัวต่อตารางเมตร จากการสำรวจผู้เลี้ยงกุ้ง  ที่ปล่อยกุ้งในอัตราส่วน 5-10 ตัวต่อตารางเมตร จะได้ผลิตผล 150-200 กิโลกรัมและไร่ ในระยะ 7-8 เดือน ถ้าปล่อยกุ้งแน่นเกินไปกุ้งจะโตช้า ในกรณีที่ใช้วิธีทยอยจับกุ้งโตออกตลอดปี ควรปล่อยกุ้งเป็นระยะทุก 3-4 เดือน ในจำนวนที่มากกว่ากุ้งที่จับออก 3 เท่า เช่น ถ้าจับกุ้งใหญ่ขาย 1,000 ตัว ในระยะ 4 เดือน ก็ต้องปล่อยกุ้งเล็กลงไปแทนประมาณ 3,000 ตัว

อาหารและการให้อาหาร
ส่วนประกอบของอาหาร กุ้งเป็นสัตว์ที่กินอาหารไม่เลือก ทั้งซากสัตว์ และเมล็ดพืช กุ้งหากินในเวลากลางคืนตามพื้นก้นบ่อ ฉะนั้นอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งในบ่อจึงได้แก่ เนื้อปลาสด เนื้อหอย และอาหารผสมบดและอัดเม็ดตากแห้ง และเนื่องจากกุ้งกินอาหารช้า อาหารผสมจึงควรจมอยู่ในน้ำได้นาน ไม่ละลายน้ำเร็ว อย่างน้อยจะต้องคงรูปอยู่ได้นานไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนผสมของอาหารควรมีโปรตีนร้อยละ 20-30   สำหรับกุ้งเล็กที่มีขนาด 1-2 เซนติเมตร ที่เลี้ยงในบ่อดิน เริ่มให้อาหารตั้งแต่วันแรกที่ปล่อยลูกกุ้งลงเลี้ยง ประมาณ 1/2 กิโลกรัมต่อจำนวนกุ้ง 10,000 ตัวต่อวัน หว่านวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น และให้เพิ่มอีกประมาณร้อยละ 30-50 ของน้ำหนักอาหารเดิมต่อทุก 2 สัปดาห์ จนอายุประมาณ 4 เดือน จึงให้เพิ่มในอัตราร้อยละ 25-30 ของน้ำหนักอาหารเดิมต่อทุก 3-4 สัปดาห์ โดยลดจำนวนครั้งเหลือเพียงครั้งเดียวในเวลาเย็น ในการพิจารณาให้อาหาร เรามีวิธีการพิจารณา ดังนี้ ถ้าเป็นกุ้งเล็กต่ำกว่า 100 ตัวต่อกิโลกรัม ให้อาหารประมาณร้อยละ 10-12 ของน้ำหนักกุ้ง ถ้าเป็นกุ้งขนาด 50-80 ตัวต่อกิโลกรัม ให้อาหารประมาณร้อยละ 5-8 ของน้ำหนักกุ้ง ถ้ากุ้งใหญ่กว่านี้ให้อาหารประมาณร้อยละ 1-3 ของน้ำหนักกุ้ง ถ้าเป็นอาหารสดจะต้องให้มากกว่านี้ประมาณ 3-5 เท่า อาหารเม็ดแห้งต้องใช้ประมาณ 3 กิโลกรัม จึงจะเทียบได้กับอัตราส่วนน้ำหนักกุ้ง 1 กิโลกรัม ราคาอาหารเม็ดกิโลกรัมละประมาณ 8-10 บาท เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายสำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งประมาณ 30-40 บาทต่อน้ำหนักกุ้ง 1 กิโลกรัม โดยมีอัตรารอดตายประมาณ ร้อยละ 30-40

ผลผลิต
กุ้งที่เลี้ยงควรจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 7 เดือน ควรจับเมื่อตัวผู้มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 80 กรัม และตัวเมียไม่ควรต่ำกว่า 50 กรัม ปริมาณนั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง คือ การจัดการแหล่งน้ำและอาหาร ในการจับกุ้งนั้น เราควรพิจารณาปัจจัย 2 ประการ คือ ขนาดที่ตลาดต้องการ และขนาดที่กุ้งเจริญเติบโตถึงจุดอิ่มตัว ผู้เลี้ยงย่อมทราบดีว่า กุ้งโตไม่เท่ากัน ยิ่งเลี้ยงไป ตัวผู้ยิ่งโตกว่าตัวเมียเมื่ออายุประมาณ 8-12 เดือน ตัวผู้จะโตกว่าตัวเมียประมาณ 2 เท่า 

จากการสังเกตการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในบ่อ พบว่า ควรจับกุ้งเมื่อตัวผู้มีขนาด 8-10 ตัวต่อกิโลกรัม และตัวเมียมีขนาด 15-18 ตัวต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นระยะที่กุ้งก้ามกรามในบ่อมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วที่สุด ถ้าพ้นจากนี้ไปจะโตช้า ในการเลี้ยงกุ้งเพื่อเป็นธุรกิจนั้น ควรจับกุ้งโดยใช้อวนจะเหมาะกว่าวิธีอื่น ทั้งนี้เพราะกุ้งโตไม่เท่ากัน การใช้อวนทำให้สามารถเลือกจับกุ้งที่โตออกขายก่อน กุ้งไม่บอบช้ำ ช่วยให้ได้ราคาดี และประหยัดทั้งกำลังคนและอุปกรณ์ อย่างไรก็ตามไม่ควรจับกุ้งที่กำลังลอกคราบ หรือเพิ่งลอกคราบใหม่ ๆ เพราะเปลือกยังนิ่ม และเกิดบาดแผลง่าย ทำให้เน่าเสียเร็ว และไม่ควรจับกุ้งขังไว้ค้างคืน เพราะจะทำให้กุ้งได้รับความเสียหายเนื่องจากกุ้งลอกคราบ และส่วนมากจะถูกกุ้งตัวอื่นกิน เหลือบางส่วนเท่านั้น โดยราคาซื้อขายที่ปากบ่อ กิโลกรัมละ 250 บาท นำส่งลูกค้ากิโลกรัมละ 280-400 บาท ตามระยะทาง เนื่องจากต้องเติมน้ำมัน 2 ส่วน คือ ทั้งน้ำมันรถยนต์และน้ำมันเครื่องทำออกซิเจนในถังกุ้งอีกด้วย

ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางสาวพิฐชญาณ์  ศรีวงศ์แสง
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นายเอกรัตน์  ภูบุตตะ
ข้อมูล TKP อ้างอิง https://346kalasin.blogspot.com/2022/08/blog-post.html



วิสาหกิจชุมชนการผลิตกาแฟพรี่เมียมกาแฟโรบัสต้า จ.สตูล

 


วิสาหกิจชุมชนการผลิตกาแฟพรี่เมียมกาแฟโรบัสต้า จ.สตูล

นางกนกวรรณ หวังโชคผดุง ประธานกลุ่ม และ นายศุภชัย หวังโชคผดุง รองประธานกลุ่ม

ประวัติการปลูกกาแฟ 
พ่อชอบปลูกกาแฟมากปลูกสวนแรกที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ ปี พ.ศ. 2514 นำเมล็ดพันธุ์มาจากองค์การนาบอน เป็นของคนจีนมาทำผลิตกาแฟในสมัยนั้น มีคนไปทำงานในนั้นเอาเมล็ดกาแฟออกมาปลูกไว้ พ่อก็ได้ไปขอพันธุ์มาปลูกตั้งแต่นั้นมา


พ่อเป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราช แม่เป็นคนสุราษฎร์ธานี พ่อกับแม่ซื้อที่ดินทำสวนที่จังหวัดระนอง เมื่อปี พ.ศ. 2527 พ่อปลูกกาแฟเป็นเชิงเดียว จนสามารถสร้างตัวสร้างฐานะที่ดีขึ้นได้ด้วยการปลูกกาแฟ จน พ.ศ. 2530 แม่ได้คลอดหนูออกมา แม่ไปคลอดหนูที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ 15 วัน ก็พาหนูกลับไปทำสวนที่จังหวัดระนอง แม่เลี้ยงหนูไปด้วยทำสวนกาแฟไปด้วย พาหนูไปนอนใต้ต้นกาแฟ หนูโตมากับต้นกาแฟที่พ่อกับแม่รัก ตามประสาเด็กที่ไม่มีขนมและผลไม้กิน หนูก็เก็บผลกาแฟสุก ๆ มากิน หนูชอบกินลูกกาแฟมากเพราะมีรสชาติหวาน คนอื่นมักจะรู้จักกาแฟ คือ ผลไม้ เพราะเขาอ่านหนังสือหรือมีคนบอก แต่หนูไม่มีใครบอกหนูรู้เพราะหนูอยู่กับกาแฟ มีแต่ลูกกาแฟที่เป็นผลไม้อร่อยที่สุดแล้ว จำเหตุการณ์นั้นได้เพราะหนูกลืนเมล็ดกาแฟเข้าไปด้วยแล้วถ่ายไม่ออก และก็จะเป็นแบบนี้บ่อยมากจนแม่ต้องห้ามกลืนเมล็ดกาแฟลงไป กินได้เฉพาะเปลือก พ่อรักต้นกาแฟมาก พ่อเคยบอกว่าต้นกาแฟของพ่อสวย บางคืนพ่อนอนไม่หลับ ไปถากหญ้าใต้ต้นกาแฟกลางคืนก็มี แต่อยู่มาวันหนึ่งได้มีพายุเกย์เข้ามาได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง ดินไหล น้ำท่วม ต้นไม้ พืชผักเสียหายหมด บ้านเรือนไม่มีเหลือ ต้นกาแฟพ่อเสียหายหมด เรารอดกันมาได้เพราะหนูเข้าไปอยู่ในโอ่ง หลังจากเหตุการณ์นี้พ่อได้เสียสตินอนโรงพยาบาลหลายเดือน เพราะรับสภาพไม่ไหว ต้นกาแฟที่รักหายไปกับดินและน้ำ ครอบครัวเราจึงหนีจากความทรงจำนั้นมาอยู่ที่จังหวัดสตูล พ่อซื้อที่ไว้ปลูกกาแฟ หนูมาเข้าโรงเรียนที่นี่ หนูโตที่นี่ หนูเห็นต้นกาแฟของพ่อสวยมาก พ่อปลูกกาแฟจำนวน 10 ไร่ แต่มันไม่ประสบความสำเร็จตอนนั้นแล้งมาก ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ต้นกาแฟพ่อตายหมดเหลือไม่กี่ต้น จนวันหนึ่งแม่ได้จากพวกเราไป พ่อจะพาหนูกลับไปอยู่ระนอง เพื่อกลับไปปลูกกาแฟที่นั่น แต่หนูบอกพ่อว่าหนูจะปลูกกาแฟที่นี่ที่สตูล หนูจะทำให้สตูลเป็นจังหวัดที่มีกาแฟอร่อยไม่แพ้ ระนอง ชุมพร 


หนูเริ่มจากการล้มต้นยางพารา จำนวน 2 ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับบ้าน เพื่อปลูกต้นกาแฟ จำนวน 215 ต้น ในปี พ.ศ. 2561 หนูตั้งใจว่าจะผลิตกาแฟดี ๆ ให้พ่อกินให้ได้ เพราะพ่อติดกาแฟมาก ทุกเม็ดที่หนูคั่วทุกแก้วที่หนูชงต้องมั่นใจได้ว่าปลอดภัย ทุกกระบวนการทำกาแฟของหนูทำด้วยใจเพราะหนูตั้งใจว่าไว้กินเองและให้พ่อกิน จนวันหนึ่งหนูทำกาแฟดี ๆ ให้พ่อได้แล้วและหนูก็อยากให้ทุกคนได้กินกาแฟดี ๆ เหมือนพ่อหนูด้วย 

“ทุกแก้วที่คุณดื่ม มันคือ แก้วเดียวกันกับพ่อหนูดื่ม กาแฟนี้เพื่อพ่อ” 


ความสำเร็จในการปลูกกาแฟได้รับความช่วยเหลือจากพี่ ๆ ที่จังหวัดระนองให้การช่วยเหลือทุกอย่าง จนประสบความสำเร็จในการปลูกกาแฟ ต้นกาแฟได้ปลูกในที่ดินของนายเอก ซึ่งเป็นลูกเขยของพ่อ ก็เลยเป็นที่มาของ “ไร่กาแฟนายเอก”

ในปี พ.ศ. 2562 ได้ไปจดวิสาหกิจชุมชนในชื่อ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนการผลิตกาแฟพรี่เมี่ยมกาแฟโรบัสต้า จ.สตูล” ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ผู้ที่สนใจได้มาศึกษาเรียนรู้ในเรื่องการปลูกกาแฟ ขั้นตอนการทำกาแฟพรี่เมียม และการแปรรูปกาแฟเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งทางกลุ่มจะมีกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจได้ลงมือปฏิบัติ ทั้งการเก็บกาแฟสด การคั่วกาแฟ คัดเมล็ดกาแฟ และการบดกาแฟ ซึ่งมีให้ทุกคนได้ทดลองปฏิบัติ เพื่อจะสามารถกลับไปปฏิบัติหรือเกิดทักษะกระบวนการต่าง ๆ ได้ 

     

ภาพกิจกรรมการการคั่วกาแฟ คัดเมล็ดกาแฟ และการบดกาแฟ ของผู้ที่มาศึกษาแหล่งเรียนรู้
ภาพกิจกรรม ของผู้ที่มาศึกษาแหล่งเรียนรู้


ในปี พ.ศ. 2565 “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนการผลิตกาแฟพรี่เมี่ยมกาแฟโรบัสต้า จ.สตูล” ได้ส่งกาแฟเข้าประกวดสุดยอดกาแฟไทย ปี พ.ศ. 2565 ประเภทกาแฟโรบัสตา (ไม่แยกกระบวนการ)  ผลการประกวด “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนการผลิตกาแฟพรี่เมี่ยมกาแฟโรบัสต้า จ.สตูล” ได้ผลคะแนน 78.18 คะแนน ได้ลำดับที่ 33 ของประเทศไทย และได้ลำดับที่ 7 ของภาคใต้ 
 
 



 





ข้อมูลผลคะแนน จาก Facebook : สุดยอดกาแฟไทย 


ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว ภาพถ่าย โดย นางกนกวรรณ หวังโชคผดุง ประธานกลุ่ม และ นายศุภชัย หวังโชคผดุง รองประธานกลุ่ม
เรียบเรียงเนื้อหาและภาพถ่าย โดย นางสาวสุวิมล ส่งเมือง ครู กศน.ตำบล 



ดาวน์โหลดเอกสาร

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารทะเล การทำกะปิบ้านท่าแลหลา

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารทะเล การทำกะปิบ้านท่าแลหลา

ประวัติความเป็นมาของการทำกะปิ

กะปิ ถูกคิดขึ้นโดยชาวประมงที่ต้องการจะดองกุ้งที่จับมาได้ เพื่อจะเอาไว้รับประทานได้ในระยะเวลานาน ๆ หรืออีกข้อสันนิษฐานหนึ่งกล่าวว่า เนื่องจากไม่สามารถขายกุ้งได้หมด จึงทำการดองเอาไว้ โดยไม่ว่าข้อสันนิษฐานจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็คือ กะปิ ถือเป็นตำรับอาหารของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในปัจจุบันกะปิกลายมาเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมอาหารและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนต่าง ๆ มากมายจากการผลิตกะปิขาย ภาคใต้ของไทยเรานั้นจะเรียกกะปิว่า "เคย"

“เคย” เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังรูปร่างคล้ายกุ้ง บางทีก็เรียกว่า “กุ้งเคย” ซึ่งตัวเคยนี้จะดำรงชีวิตอยู่ใกล้ผิวทะเลโดยไม่จมลงไป อาจจะอยู่ในน้ำลึกประมาณหน้าแข้งถึงระดับหน้าอก ตัวเคยมีขนาดยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีเปลือกบางและนิ่มอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงตามชายทะเลและลำคลองบริเวณป่าชายเลน  สำหรับคนไทยเราแล้วตัวเคยถือว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจซึ่งหาได้จากธรรมชาติ ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง มีประโยชน์ต่อร่างกายและเราสามารถใช้ตัวเคยมาทำกะปิหรือกุ้งแห้ง

ในอดีตจนถึงปัจจุบัน อดีต การหากุ้งมาทำกะปิ ไม่ได้ยึดเป็นอาชีพเพียงแต่นำมาแปรรูปได้หลายรูปแบบเพื่อเป็นอาหารไว้บริโภคภายในครัวเรือน เช่น กะปิ กุ้งส้ม กุ้งแห้ง และน้ำมันกุ้ง ในการออกไปหาวัตถุดิบในอดีตในแต่ละวันต้องใช้เรือพายออกไปหาริมตลิ่ง โดยใช้วิธีช้อนด้วยสวิงไม้ไผ่สาน ในอดีตนั้นสภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์การออกไปหาวัตถุดิบดังกล่าวไม่ได้มีต้นทุนค่าใช้จ่ายอะไรเลย ใช้เฉพาะแรงกายเท่านั้นจนมาถึงยุคที่การทำกะปิสามารถสร้างรายได้สู่ครัวเรือน จึงวิวัฒนาการจากเรือพายมาถึงเรือแจวและได้เปลี่ยนจากการช้อนกุ้งมาเป็นการดักตามร่องคลองสาขาเล็ก ๆ โดยใช้ตับจากที่ใช้มุงหลังคาบ้านในอดีตนำมาเย็บคู่กันเป็นแผ่นใหญ่ ประมาณ 1 x 1.5 เมตรต่อหนึ่งแผ่น นำมาเชื่อมต่อกันเพื่อปิดร่องคลองเล็กโดยใช้อวนตาถี่เป็นเครื่องมือดักจับตัวกุ้งเย็บคล้าย ๆ ถุงปากกว้าง ท้ายเรียว ยุคนั้นราคากะปิ  กิโลละ 10 บาท ในช่วงปี พ.ศ. 2510 – 2525  

ต่อมาประชาชนในชุมชนและหมู่บ้านใกล้เคียง เริ่มบริโภคมากขึ้น ประกอบกับธุรกิจการเลี้ยงกุ้งในบ่อได้เติบโตขึ้น ทำให้ระบบนิเวศเริ่มเปลี่ยนแปลง การประกอบอาชีพการทำกะปิจึงเริ่มหาวัตถุดิบมากขึ้นในบางช่วงเวลาของปีจนผู้ที่ทำอาชีพทำกะปิต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตและวิธีการสู่ยุคการนำเครื่องมือสมัยใหม่มาดำเนินการเพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการประกอบอาชีพมาจนถึงปัจจุบัน โดยใช้เรือรางยาว เครื่องยนต์ขนาดเล็ก

กระบวนการผลิต

กรรมวิธีการผลิตกะปิ อาศัยหลักการเช่นเดียวกับการทำน้ำปลา คือ อาศัยเอนไซม์จากเนื้อปลาและอวัยวะภายในของตัวปลาเอง เป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและจุลินทรีย์ในกระบวนการหมัก โดยการใส่เกลือในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อยับยั้งการเน่าเสียเนื่องจากจุลินทรีย์ ดังนั้นกระบวนการที่จำเป็นและสำคัญที่สุด คือ การย่อยสลายโดยเอนไซม์โดยเฉพาะการย่อยโปรตีนและไขมันซึ่งเป็นผลทำให้เกิดสารประกอบที่ทำให้เกิดกลิ่น รส ในผลิตภัณฑ์ มีขั้นตอน ดังนี้

1. หลังจากชาวประมงจับกุ้งเคยได้แล้วจะใช้ตะแกรงตาถี่ ๆ หรือตระกร้าพลาสติกตาถี่ร่อนตัวเคย โดยจะใช้น้ำทะเลทำความสะอาดเพื่อให้เคยคงความสด ไม่ตาย และไม่เสียรสชาติที่ดีของกะปิ ซึ่งตัวเคยละเอียดจะลอดตะแกรงลงไปอยู่ข้างล่าง เหลือเศษใบไม้ เคยหยาบ และสิ่งที่ไม่ต้องการอยู่ข้างบน

2. นำเคยสดที่ได้ไปคลุกเคล้ากับเกลือ ในอัตราส่วน กุ้ง 3 กิโลกรัม ต่อเกลือ 1 ถุงเล็กขนาด 200  กรัม หลังจากนั้นก็จะนำไปพักไว้โดยใส่ในภาชนะที่มีช่องระบาย เช่น ตระกร้าหรือห่อด้วยอวนตาถี่แล้วทับด้วยวัสดุหนัก ๆ เพื่อให้น้ำออกไปบางส่วน ทิ้งไว้ 1 - 2 คืน (เรียกว่าการเกรอะ)

3. นำเคยที่ผ่านการหมักกับเกลือแล้วไปตากแดดจัด ตากแห้ง โดยใช้ตะแกรงถี่ ๆ หรืออวนรองใต้เคย เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างได้ หมั่นกลับเอาข้างล่างขึ้น ตากแดดจัด 2 - 3 ชั่วโมง ให้เคยแห้ง (ให้มีความชื้นอยู่บ้างไม่ต้องแห้งสนิท) ก็ใช้ได้

4. นำเคยที่ตากแดดเรียบร้อยแล้วไปตำในครกไม้ขนาดใหญ่ จนตัวกุ้งละเอียดพอประมาณ         

5. นำมาหมักอีกครั้งจนกะปิเปลี่ยนเป็นสีแดง และมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน จากนั้นก็นำออกตากแดดอีกครั้ง โดยใช้เวลาประมาณ 2 - 4 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะแห้ง

6.  นำกะปิมาตำให้ละเอียดอีกครั้ง โดยใช้น้ำตาลทรายเป็นส่วนผสม สัดส่วน กะปิ 10 กิโลกรัม  น้ำตาล 300 กรัม ตำให้เข้ากันจนละเอียด      

7. หลังจากนั้นก็จะนำกะปิที่ได้มาบรรจุในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท สามารถจำหน่ายและเก็บไว้ใช้ได้นาน แต่ถ้าไม่บรรจุก็สามารถนำไปแช่เย็นหรือเก็บไว้ในที่ร่มที่มีฝาปิดเพื่อป้องกันแมลงมารบกวน

ขั้นตอนการทำกะปิ

1. เลือกสิ่งที่ไม่ต้องการออก


2. นำเคยที่ผ่านการหมักกับเกลือแล้วไปตากแดดจัด หมั่นกลับเอาข้างล่างขึ้น ตากแดดจัด 2 - 3 ชั่วโมงให้เคยแห้ง

3. นำเคยที่ตากแดดเรียบร้อยแล้วไปตำในครกไม้ขนาดใหญ่  จนตัวกุ้งละเอียดพอประมาณ

4. นำกะปิมาตำให้ละเอียดอีกครั้ง โดยใช้น้ำตาลทรายเป็นส่วนผสม สัดส่วน กะปิ 10 กิโลกรัม น้ำตาล 300 กรัม ตำให้เข้ากันจนละเอียด 


 

ปัจจัยความสำเร็จ

1.  สินค้ามีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของลูกค้าและบุคคลทั่วไป
2.  มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติงาน
3.  สมาชิกกลุ่มให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการดำเนินกิจกรรม
4.  มีการทำงานเป็นทีมและมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกันเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
5.  สมาชิกกลุ่มมีรายได้สามารถเลี้ยงครอบครัวได้
6.  เป็นแหล่งเรียนรู้ในชุมชนสามารถให้บุคคลทั่วไปและหน่วยงานได้ศึกษาดูงาน

การเผยแพร่

1. มีการจำหน่ายออกบูทงานวัฒนธรรม  ซึ่งจัดขึ้นที่ถนนบายพาส อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล
2. งานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอำเภอละงู ซึ่งจัดขึ้นที่ ที่ว่าการอำเภอละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล
3. งานวันเต่าโลก ซึ่งจัดขึ้นที่สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดสตูล หมู่ที่ 7 บ้านโกตา ตำบลกำแพง  อำเภอละงู จังหวัดสตูล
4. งานสมัชชาประชาธิปไตย ซึ่งจัดโดยองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำผุด อำเภอละงู จังหวัดสตูล 

การได้รับการยอมรับ

1. กะปิท่าแลหลามีคุณภาพไม่มีสารเจือปน
2. เป็นที่รู้จักของประชาชนในอำเภอละงู อำเภอข้างเคียง และต่างจังหวัด เนื่องจากต่างยอมรับในความอร่อยของกะปิท่าแลหลา จะเรียกติดปากกันว่าเคยท่าแลหลา ถ้าเป็นกะปิท่าแลหลาไปขายที่ไหน เขาก็ยอมรับในความอร่อยไม่ต้องโฆษณา

รางวัลที่ได้รับ

1. OTOP สามดาว จากหน่วยงานพัฒนาการอำเภอละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล
2. ปี 2556 ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากวัฒนธรรมจังหวัดสตูล
3. ปี 2560 ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอละงู จังหวัดสตูล  

ช่องทางการติดต่อ นายกัมพล รายา ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารทะเล โทร.08 6969 2819
ข้อมูลเนื้อหาโดย นายกัมพล  รายา ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารทะเล
เรียบเรียงเนื้อหาและภาพถ่ายโดย นางวรรณา  ดินนุ้ย ครู กศน.ตำบล





ข้าวเหนียวสังขยา

 


การฝึกอาชีพระยะสั้น หลักสูตรอาหาร-ขนม
ข้าวเหนียวสังขยา
ข้าวเหนียวสังขยา เป็นขนมไทยทำจากไข่ กะทิและน้ำตาล เป็นขนมหวานที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี ทานกับข้าวเหนียวมูน มีรสชาติอร่อย หอมหวานมัน เป็นขนมหวานที่ได้รับอิทธิพลมาจากโปรตุเกส นิยมรับประทานกับข้าวเหนียวหรือใส่ในฟักทอง มะพร้าวและเผือก แล้วนำไปนึ่ง  ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมนำมาใช้ในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ขึ้นบ้านใหม่ งานอุปสมบท เป็นต้น


ข้าวเหนียวหน้าสังขยา
ส่วนผสมข้าวเหนียวมูน
ข้าวเหนียวอย่างดี  1/2   กิโลกรัม
มะพร้าวขูดขาว 1/2   กิโลกรัม
เกลือป่น  1      ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายขาว 3/4   ถ้วยตวง
ถั่วทองคั่ว 1/4   ถ้วยตวง


วิธีทำ

1. ข้าวเหนียวเลือกข้าวเจ้าออก แช่ค้างคืนหรือแช่ไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง ใส่กระชอนให้สะเด็ดนํ้า ใส่หวดหรือลังถึง ปูผ้าขาวบาง นึ่งให้สุก
2. คั้นมะพร้าวใส่นํ้า 1/2 ถ้วยตวง คั้นให้ได้กะทิ 3/4 ถ้วยตวง
3. ผสมกะทิกับเกลือ นํ้าตาลทราย คนให้ละลาย แล้วกรอง ตั้งไฟ คนอย่าให้เป็นลูก พอเดือดยกลง แล้วแบ่งกะทิออก 3/4 ถ้วยตวง ใส่เกลือ 1/2 ช้อนชา สำหรับหยอดหน้า
4. เมื่อข้าวเหนียวสุกดีแล้ว เทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด แล้วใส่กะทิคนให้เข้ากันจนชุ่ม ปิดฝาไว้จนข้าวเหนียวระอุดี

เวลาเสิร์ฟ นำข้าวเหนียววางด้านล่าง ตักสังขยาวางบนข้าวเหนียว โรยหน้าด้วยถั่วทองคั่ว หยอดหน้าด้วยน้ำกะทิ

ส่วนผสมหน้าสังขยา
มะพร้าวขูดขาว 250 กรัม
นํ้าตาลปี๊บ         250 กรัม
ไข่เป็ดหรือไข่ไก่      4   ฟอง

วิธีทำ
1. คั้นมะพร้าวใส่น้ำ 1/2 ถ้วยตวง คั้นให้ได้กะทิ 1 ถ้วยตวง
2. ผสมน้ำตาล กะทิ และไข่ ขยำกับใบตองหรือใบเตย แล้วกรองใส่ถาด นึ่งไฟแรง 25-30 นาที สุกยกลง
3. จัดเสิร์ฟ รับประทานคู่กับข้าวเหนียวดำหรือขาว แล้วแต่ชอบ สูตรนี้สามารถทำขนมรับประทานได้ 6-8 คน

ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย  :   เจ๊ะโรซีลา  เจะอาแว  ครู กศน.ตำบลเขื่อนบางลาง
ภาพถ่าย ภาพประกอบ โดย :   สุรียานี  อะเซ็ง  ครู อาสาฯ ตำบลเขื่อนบางลาง


การเพาะเห็ดนางฟ้า...แพร่

ชาวบ้านในตำบลแม่ทราย ได้รับการส่งเสริมการศึกษาด้านอาชีพ การเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐาน จาก กศน.ตำบลแม่ทราย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอร้องกวาง  ทำให้สามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่ตนเองและครอบครัวได้

นางบัวลอย สุวรรณ พื้นเพเดิมเป็นคนตำบลแม่ทราย อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ประกอบอาชีพทำนา ในพื้นที่ 12 ไร่ และได้นำสารเคมีมาใช้ในการเพาะปลูกมาโดยตลอด ผลผลิตที่ได้เป็นข้าวเปลือก 8 เกวียน ทำให้ขาดทุนทุกปี ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2551 นางบัวลอย จึงได้เข้าร่วมกิจกรรม ที่ กศน.ตำบลท่าทราย ส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ชาวบ้าน ซึ่งก็คือ การเพาะเห็ดนางฟ้า ซึ่งเป็นหลักสูตรระยะสั้น เมื่อได้รับความรู้มาแล้ว นางบัวลอยจึงมาทดลองทำในครอบครัว และนำผลผลิตมาจำหน่ายทำให้มีรายได้เสริม จากการเพาะเห็ดนางฟ้ามาได้ระยะหนึ่ง จึงพบว่า มีรายได้มากกว่าการปลูกข้าวโดยใช้สารเคมี จึงตัดสินใจขยายโรงเรือน ในปัจจุบันมีโรงเรือนเพาะเห็ดนางฟ้า จำนวน  5 โรงเรือน


สถานที่ตั้งของผู้ประกอบอาชีพ   
บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 1 ตำบลแม่ทราย  
อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่   
พิกัด 18.384334, 100.320840

กระบวนการผลิต
การเตรียมโรงเรือนสำหรับเพาะเห็ดนางฟ้า พื้นที่ในการสร้างโรงเรือน ควรสร้างในที่เย็นชื้นและสะอาด วัสดุที่จะนำมาสร้างเป็นโรงเรือน ควรเป็นวัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ฟาง หญ้าแฝก ไม้ไผ่ เป็นต้น แบบโรงเรือนที่สร้างง่าย ลงทุนน้อย ขนาดของโรงเรือน กว้าง 2 เมตร x ยาว 15 เมตร x สูง 2 เมตร จะวางก้อนเชื้อเห็ดเห็ดนางฟ้าได้ประมาณ 4,000 ก้อน

วิธีการทำก้อนเชื้อเพาะเห็ดนางฟ้า การทำก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้ามีส่วนผสมหลัก ดังนี้ 
1. ขี้เลื่อยไม้เนื้ออ่อน 100 กิโลกรัม 
2. รำละเอียด 6-8 กิโลกรัม
3. ข้าวโพดป่น 3-5 กิโลกรัม
4. ปูนยิบซัม 1 กิโลกรัม
5. หินปูนหรือผงชอล์ก 1 กิโลกรัม 
6. ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม
7. น้ำ 80 กิโลกรัม  EM 1 ลิตร
หลังจากเตรียมส่วนผสมเรียบร้อยแล้ว นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน บรรจุใส่ถุงพลาสติกอัดให้แน่น ควรบรรจุส่วนผสมที่ผสมไว้ให้หมดภายในวันเดียว เมื่ออัดก้อนเชื้อแน่นดีแล้ว ใส่คอขวดพลาสติก อุดด้วยสำลีและปิดด้วยกระดาษ แล้วรัดยางให้แน่น



นำไปนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อ ถ้ามีหม้อนึ่งความดัน ให้นึ่งที่ความดัน 25 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีหม้อนึ่งความดัน ให้ใช้หม้อนึ่งจากถังน้ำมัน 200 ลิตร แทนก็ได้ โดยทำการนึ่งที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ระยะเวลา 2-3 ชั่วโมง และนึ่ง 3 ครั้ง 
เมื่อนึ่งฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว ทำการหยอดเชื้อเห็ดจากเมล็ดข้าวฟ่างประมาณ 20-25 เมล็ด ลงในถุงก้อนเชื้อ แล้วปิดปากถุงก้อนเชื้อให้เรียบร้อย แล้วนำไปตั้งไว้ในโรงเรือน



การเก็บเกี่ยวผลผลิตเห็ดนางฟ้า
เห็ดนางฟ้าจะออกดอกเมื่อมีความชื้นสูงพอ อากาศไม่ร้อนมาก ในช่วงเวลากลางคืนถ้าอากาศเย็นจะออกดอกได้ดี เทคนิคที่ทำให้เห็ดมีดอกใหญ่และออกดอกอย่างสม่ำเสมอ คือ เมื่อเก็บดอกเห็ดเสร็จแล้ว ต้องทำความสะอาดเขี่ยเศษเห็ดออกจากหน้าก้อนเชื้อให้หมด งดให้น้ำ 3 วัน เพื่อให้เชื้อฟักตัว แล้วให้น้ำตามปกติ เห็ดจะออกดอกมากเหมือนเดิม หรือใช้วิธีการทำความสะอาดหน้าก้อนเชื้อแล้ว รัดปากถุงไม่ให้อากาศเข้า ทิ้งไว้ 2-3 วัน จึงให้น้ำตามปกติ หลังจากนั้นเปิดปากถุง จะทำให้เห็ดออกดอกได้สม่ำเสมอพร้อมกัน

เมื่อเห็ดออกดอก ได้ตามขนาดที่ต้องการแล้ว จะทำการเก็บเกี่ยวโดยจับที่โคนดอกทั้งช่อ โยกซ้ายขวา-บนล่าง แล้วดึงออกจากถุงเห็ด ระวังอย่าให้ปากถุงเห็ดบาน ถ้าโคนของดอกเห็ดขาดติดอยู่ ให้เอาออก เพื่อป้องกันการเน่าเสีย และการวางไข่ของแมลง ลักษณะดอกเห็ดที่ควรเก็บคือ ดอกไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป ขอบดอกยังงุ้มอยู่ ถ้าขอบยกขึ้นแสดงว่าแก่แล้ว ดอกเห็ดที่ออกสปอร์เป็นผงขาวด้านหลังดอกเห็ดแสดงว่าแก่จัด ต้องรีบเก็บออก เพราะสปอร์จะเป็นตัวชักนำให้แมลงเข้ามาในโรงเรือนได้

ปัญหาที่พบในการเพาะเห็ดนางฟ้า
1. ในถุงก้อนเห็ดเชื้อไม่เดิน เกิดจากเวลาหยอดเชื้อเห็ดถุงก้อนเชื้อร้อนเกินไป ทำให้เชื้อเห็ดไม่เดิน วิธีแก้ไขคือ วางก้อนเชื้อให้เย็นอย่างน้อย 24 ชั่วโมง แล้วจึงหยอดเชื้อ 
2. หนอนแมลงหวี่กินเส้นใยเห็ด วิธีแก้ไข คือ ควรทำความสะอาดโรงเรือน วัสดุจุก สำลี ต้องนึ่งฆ่าเชื้อ สำลีต้องอุดให้แน่น ปิดปากถุงให้สนิทอย่าให้แมลงเข้าไปได้
3. เห็ดมีหน่อเกิดมากเกินไป ดอกเห็ดมีน้อย เกิดจากเชื้อเห็ดมีคุณภาพต่ำ ไม่สามารถพัฒนาให้ดอกเจริญเติบโต อาหารในก้อนเชื้อไม่เพียงพอ การถ่ายเทอากาศไม่ดี ความชื้นสูงเกินไป วิธีแก้ไข ควรตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบ เปลี่ยนเชื้อเห็ด ที่มีอัตราการเดินเส้นใยดี และปรับให้โรงเรือน มีอากาศถ่ายเท มีแสงสว่าง ลดความชื้นลง และควรเลิกใช้สารเคมีในช่วงเปิดดอก
4. การเกิดดอกเพียงรุ่นเดียว เกิดจากอาหารในก้อนเชื้อไม่เพียงพอ การจัดสภาพโรงเรือนไม่ดีพอ วิธีแก้ไข ปรับสูตรอาหารใหม่ ปรับสภาพโรงเรือนให้สะอาดมีอากาศถ่ายเท และมีแสงสว่างเพียงพอ 
อาชีพการเพาะเห็ด ไม่ยุ่งยากเหมือนอย่างที่หลาย ๆ คนคิด แต่ต้องศึกษาให้เข้าใจและ
ถ่องแท้ก่อน อาจศึกษาจากตำราต่าง ๆ ศึกษาดูงานจากแหล่งเรียนรู้ เช่น ฟาร์มเห็ด  ปัจจุบันยังพบว่ามีผู้เพาะเห็ดขาย สร้างรายได้เป็นอย่างดี ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย

ข้อมูลเนื้อหา โดย นางกชวรรณ ตาคำ/นางสาวกัลยาณี เวชโช
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นายกฤตภาส ชื่นสนธิพันธุ์
ข้อมูลอ้างอิง TKP : https://254phrae.blogspot.com/2020/05/blog-post_763.html
เว็บ กศน.ตำบล https://sites.google.com/dei.ac.th/maesainfe/อาชีพ/การเพาะเห็ดนางฟ้า



ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย TKP

 
Copyright © 2018 Thailand Knowledge Portal. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand