TKP HEADLINE

Showing posts with label (4)ภาคตะวันออก. Show all posts
Showing posts with label (4)ภาคตะวันออก. Show all posts

ข้าวหลามยายนิยม

 อาชีพท้องถิ่น


ประวัติความเป็นมาของข้าวหลามมีรายละเอียดไม่มากนักเพราะการทำข้าวหลามมีมาตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่จะมีคนบอกว่าการทำข้าวหลามนั้นทำมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ที่คิดดัดแปลงมาโดยนำข้าวเหนียวกับถั่วดำมาปนคลุกเคล้ากันแล้วใส่กระบอก แต่บางคนบอกว่าทำด้วยข้าวเหนียวแดงใส่ถุงแล้วหาบขาย ต่อมานิยมทำกันมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นข้าวหลามใส่กระบอกไม้ไผ่ สมัยก่อนมีไม้ไผ่มากพอในการทำข้าวหลาม แต่ในปัจจุบันมีการผลิตข้าวหลามขายกันถ้วนหน้าจนมีชื่อเสียงแพร่หลายและนิยมทำกันมากในชุมชนจนยึดเป็นอาชีพ กระบอกไม้ไผ่จึงหายากต้องสั่งมาจากจันทบุรีเป็นคันรถ

ข้าวหลาม เป็นอาหารที่คนไทยรู้จักมาเป็นเวลาช้านาน มีกลิ่นหอม รสหวาน มันอร่อย ใช้รับประทานเป็นอาหารว่างและของฝากญาติมิตร มีขายกันทั่วทุกภาคทุกจังหวัด แต่ละพื้นที่อาจมีเอกลักษณ์ของการผลิตที่แตกต่างกัน ข้าวหลามที่เป็นที่รู้จักของคนไทย เช่น ข้าวหลามนครปฐม จังหวัดนครปฐม และข้าวหลามหนองมน จังหวัดชลบุรี เป็นต้น

ข้าวเหนียวขาวเป็นอาหารหลักอีกประการหนึ่งของชาวอีสานซึ่งรับประทานกันเป็นประจำเหมือนกับการรับประทานข้าวเป็นอาหารหลักประจำในภูมิภาคอื่น ๆ ประชาชนชาวอีสานนิยมรับประทานข้าวเหนียวกับปลาร้า ปลาเจ่า และผักสด ผักดองเป็นประจำจนเป็นอาหารหลัก แต่ยังสามารถนำมาเป็นอาหารว่างได้อีกด้วย เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวทุเรียน เป็นต้น

ข้าวเหนียวดำมีผู้นิยมรับประทานกันมากเช่นเดียวกับข้าวเหนียวขาว อย่างเช่น ข้าวเหนียวดำกับเผือกก็อร่อยไม่ใช่เล่น ข้าวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำ สามารถนำมาเป็นอาหารว่างชนิดหนึ่ง คือ ข้าวหลาม ในตอนนี้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดต้องยกให้ "ข้าวหลามหนองมน" ที่มีการทำกันเป็นจำนวนมากและยังอร่อยอีกด้วย

คำว่า “หลาม” หมายถึง การนำอาหารหรือของทุกอย่างใส่กระบอกแล้วนำไปเผาไฟ เช่น ปลาหลาม ยาหลาม (ยา หมายถึง สมุนไพรที่ใช้เผาในกระบอกเพื่อให้สุก) ด้วยเหตุนี้เมื่อนำข้าวเหนียวใส่ในกระบอกนำไปเผาไฟจึงเรียกว่า “ข้าวหลาม” ในภาคเหนือและภาคอีสานออกเสียงเป็น “เข้าหลาม” บางถิ่นทางภาคใต้เรียก “หลามเหนียว” เพราะเป็นการหลามด้วยข้าวเหนียว

ข้าวหลาม นับเป็นสินค้าขึ้นชื่อชนิดที่ติดอันดับ 1 มีผู้นิยมรับประทานมาก และมีผู้ขายมากที่สุด และรองลงมาก็คือ อาหารทะเล สินค้าแปรรูป เช่น เครื่องจักสาน ส่วนสินค้าทะเลที่มีขาย เช่น ปลาหมึกตากแห้ง กุ้งแห้ง และห่อหมก ข้าวหลามหนองมนนั้นมีรสชาติหอม หวาน เค็ม มัน ที่บรรจงกรอกอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ข้ามหลามแต่ละกระบอกต้องพิถีพิถันกันมาก และต้องบรรจงกรอกอย่างประณีตเพื่อจะให้ข้าวเหนียว ถั่วดำกลมกลืนอย่างมีรสชาติที่เข้มข้นและการทำข้าวหลามยังมีวิธีที่น่าสนใจอีกมาก

ส่วนประกอบของ ข้าวหลาม 
1. ข้าวเหนียว 10 ถ้วยตวง
2. กะทิ 4 ถ้วยตวง
3. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
5. ถั่วดำ 1/2 ถ้วยตวง
6. กระบอกไม้ไผ่
7. กาบมะพร้าวทุบ ห่อด้วยใบตองแห้งหรือสด (ทำจุกอุดปากกระบอก)

วิธีทำข้าวหลาม
- เตรียมกระบอกไม้ไผ่
- แช่ข้าวเหนียวทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
- รินนำออกจากข้าวเหนียวให้หมดแล้วใส่กะทิลงไป ใส่น้ำตาล เกลือ คนให้เข้ากัน ชิมรสว่าหวาน เค็มตามต้องการ
- นำข้าวเหนียวกรอกใส่กระบอกไม้ไผ่ให้เต็มอย่าให้ล้นกะให้เหลือส่วนปลายที่จะใช้ใบตองปิดทำเป็นฝาได้
- นำกระบอกข้าวหลามไปเผ่าไฟ  ประมาณ 30-40 นาที ต้องพลิกกลับกระบอกข้าวหลามให้ถูกไฟอย่างส่ำเสมอ

ประโยชน์ข้าวหลาม
ข้าวหลามมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น สามารถผลิตเพื่อทำเป็นรายได้ และยังสามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่การผลิตเพื่อจำหน่ายแต่เราสามารถผลิตขึ้นเพื่อรับประทานได้หรือนำไปฝากคนที่เรารักได้ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ หรือใครต่าง ๆ ได้และเราจะภูมิใจที่เราสามารถทำข้าวหลามที่สามารถรับประทานได้ด้วยตนเอง และข้าวหลามยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย

หนองมน เป็นชื่อเรียกสถานที่หนึ่งในตำบลแสนสุข จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดชลบุรี ประมาณ 11-12 กิโลเมตร ตลาดหนองมนหรือตลาดแสนสุข นับเป็นแหล่งการค้าที่เจริญมากที่สุดในจังหวัดชลบุรี ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินกันเต็มไปทั้งตลาดที่มาจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อของฝากไปให้ญาติพี่น้อง จนพูดกันว่ามาถึงตลาดหนองมนไม่ซื้อข้าวหลามหนองมนติดมือกลับไปเท่ากับว่ายังมาไม่ถึงหนองมน

ข้าวหลามหนองมน เป็นที่นิยมของคนไทยและชาวต่างชาติ มีชื่อเสียงไม่แพ้ของท้องถิ่นในจังหวัดอื่น ๆ เพราะข้าวหลามหนองมน มีการดัดแปลงโดยการสอดไส้มากมาย เช่น ไส้กล้วย ไส้เผือก ไส้มะพร้าวอ่อน เป็นที่นิยมของพื้นบ้านมีวางขายหลายร้านจนมีชื่อเสียง

การทำข้าวหลามเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีการทำในทุกภูมิภาค มีกรรมวิธีหลัก ๆ คล้ายคลึงกัน อาจแตกต่างกันบ้างในส่วนปลีกย่อยและเตาเผาที่ใช้ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างการทำข้าวหลามในจังหวัดชลบุรี

หากพูดถึงข้าวหลามแน่นอนว่าเราต้องนึกถึงข้าวหลามหนองมนก็เพราะว่าที่หนองมนเป็นชุมชนดั้งเดิมในการเผาข้าวหลามมาตั้งแต่โบราณจนทุกวันนี้ ข้าวหลามกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำย่านตลาดหนองมนไปแล้ว เมื่อเราเดินทางไปถึงตลาดหนองมน เราจะสังเกตเห็นร้านขายข้าวหลามเยอะแยะมากมาย ถึงขนาดที่ว่าเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว

ประวัติความเป็นมาข้าวหลามหนองมนแม่นิยม
คุณยายนิยม สร้อยสน อายุ 78 ปี อยู่ใกล้ตลาดหนองมน จังหวัดชลบุรี เล่าให้ฟังว่าได้ทำข้าวหลามมานานกว่า 40 ปี โดยเริ่มตั้งแต่การทำกินเองภายในครอบครัว การทำข้าวหลามไปทำบุญที่วัด จนกระทั่งมาทำขาย ระยะแรกขายกระบอกละ 1 บาท การทำข้าวหลามขายในช่วงนั้นไม่แพร่หลายและไม่เป็นที่นิยมนัก เพราะคนในท้องที่ส่วนใหญ่ไม่นิยมซื้อมารับประทาน จนกระทั่งมีคนต่างถิ่นและนักท่องเที่ยวเข้ามา ทำให้ข้าวหลามหนองมนโด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วไป จึงมีผู้ทำขายจำนวนมาก ที่ทำขายมีตั้งแต่ 4 กระบอก 100 บาท หรือ 5 กระบอก  200 บาท หรือ 5 กระบอก 100 บาท แล้วแต่ขนาดของกระบอก เมื่อก่อนทำเฉพาะข้าวเหนียวผสมถั่วดำเวลานี้มีการปรุงแต่งไส้หรือหน้าหลากหลายออกไป เช่น ไส้เผือกหรืออาจเรียกว่าหน้าเผือก เพราะใส่ชิ้นเผือกไว้ด้านบน ไม่ได้ผสมในข้าวเหนียว หรือเป็นหน้ามะพร้าวอ่อน สังขยา กล้วย  เป็นต้น เวลานี้ได้ลูก ๆ เป็นหลักในการทำ ส่วนคุณยายช่วยขาย ช่วยจัดใส่ถุง ทุบข้าวหลาม และตอบคำถามเวลา มีคนซื้อที่อยากรู้เรื่องราวของข้าวหลาม 

คุณยายพูดถ่อมตัวอยู่เสมอว่า  ข้าวหลามของคุณยายทำเหมือนกับของคนอื่น ไม่มีอะไรแตกต่างกัน พร้อมกับยิ้มอย่างใจดีและบอกว่า “เวลาทำต้องเลือกของดี ๆ ล้างให้สะอาด ปรุงรสให้ดี อย่าเสียดายของ”




ซึ่งเสน่ห์ของข้าวหลามแม่นิยม นอกจากความสดใหม่ที่แบบเผาไปขายไปแล้ว ก็คือ กรรมวิธีในการเผา โดยข้าวหลามแม่นิยมเป็นข้าวหลามเจ้าเดียวในจังหวัดชลบุรี ที่ยังทำการเผาด้วยฟืนจากกาบมะพร้าวตามวิธีการเผาแบบโบราณ

กรรมวิธีในการทำข้าวหลามของแม่นิยมจะเริ่มต้นจากการนำกระบอกไม้ไผ่มาตัดให้เป็นท่อนสั้นตามความต้องการก่อน ซึ่งไม้ไผ่ที่จะนำมาใช้ทำเป็นกระบอกข้าวหลาม คุณยายนิยมเล่าว่า เมื่อก่อนจะใช้เป็นไผ่สีสุก เพราะเป็นไผ่ชนิดเดียวที่มีเยื่อข้างใน แต่ในปัจจุบันด้วยความที่ไผ่สีสุกเริ่มหายาก ก็เลยมีการปรับเปลี่ยนมาใช้เป็นไผ่ทั่ว ๆ ไป อย่างไผ่ตง ไผ่ป่าแทน ซึ่งไผ่พวกนี้คุณยายก็จะรับซื้อมาจากชาวบ้านแถวกาญจนบุรี และเมื่อตัดไผ่เป็นท่อนเรียบร้อยแล้ว คุณยายก็จะเอาข้าวเหนียวที่แช่น้ำไว้จนนุ่มแล้วพร้อม ๆ กับถั่วดำหรือบางทีก็เป็นมะพร้าวอ่อน เผือก มากรอกใส่กระบอกที่เตรียมรอไว้

จากนั้นคุณยายก็นำกระบอกไปปักลงบนดินตรงจุดที่จะใช้ที่เผาข้าวหลาม โดยปักให้มีความลึกประมาณ 2 นิ้ว และเรียงกันเป็นแถวตามแนวยาว เสร็จแล้วคุณยายก็จะค่อย ๆ เทน้ำกะทิใส่ลงไปในแต่ละกระบอก แล้วก็เริ่มจุดไฟเพื่อเผาข้าวหลาม

สำหรับวัสดุที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาข้าวหลาม คุณยายเล่าให้ฟังว่า หลัก ๆ ก็จะใช้เป็นกาบมะพร้าวที่เป็นกาบแข็ง ๆ โดยข้าวหลาม 1 ชุด จะใช้เวลาในการเผา ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดกระบอกและปริมาณข้าวเหนียวที่อยู่ในกระบอก โดยในระหว่างการเผา ไม่ใช่ว่าแค่จุดไฟแล้วก็จบแต่จะต้องคอยดูความแรงของไฟตลอดเวลา หากไฟแรงเกินก็จะต้องคอยเขี่ยถ่านออก และหากไฟอ่อนเกิน ก็จะต้องคอยเขี่ยถ่านให้เข้าไปใกล้ ๆ กระบอกด้วย และเมื่อข้าวหลามสุกดีแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะหยิบขึ้นมาวางขายได้เลย แต่จะต้องเอาไปล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้งก่อน ถึงจะเอามาขึ้นมาวางที่หน้าร้านได้



ตำแหน่งร้าน (อธิบายโดยอ้างอิงจากสถานที่ที่เห็นได้ง่าย) : ร้านข้าวหลามแม่นิยม เปิดบริการตั้งแต่เวลา 07.00 – 22.00 น. มาตามเส้นสุขุมวิทผ่านตลาดหนองมนผ่านปั้ม ปตท.  พบสี่แยกไฟแดงแล้วเลี้ยวขวาขับตรงเข้ามาก็จะพบร้านแม่นิยมตลาดหนองมน จ.ชลบุรี 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 3839 1240, 08 6142 5989
ผู้ให้ข้อมูล  คุณยายนิยม สร้อยสน และ คุณกัลยา  สร้อยสน  
ผู้เรียบเรียง นางสาวกิรณาภัค  อินพุ่ม


“ยายเต็ม” ร้านอาหารเวียดนามเจ้าเด็ดในสระแก้ว บรรยากาศสไตล์ฟิวชั่นแบบย้อนยุค


ร้าน “ยายเต็ม” เป็นร้านอาหารเวียดนามเจ้าเด็ดแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ใกล้กับโรงพยาบาลสระแก้ว ซึ่งร้านอาหารแห่งนี้บอกได้เลยว่านอกจากจะขายอาหารเวียดนามเป็นหลักแล้ว ยังขายบรรยากาศภายในร้านที่สร้างเหมือนบ้านไม้ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ และตกแต่งด้วยสไตล์ฟิวชั่นแบบวันวานย้อนยุคอีกด้วย เนื่องจากบรรยากาศภายในร้านเหมือนกับสวนสนุกเล็ก ๆ สำหรับเด็ก ๆ มีการตกแต่งด้วยข้าวของโบราณต่าง ๆ แบบจัดหนัก จัดเต็มในทุกมุม ทุกพื้นที่ตามความชื่นชอบของเจ้าของร้านที่ชวนให้นึกถึงวันเก่า ๆ ยุคเก่า ๆ ในช่วงประมาณยุค 80 หรือยุค 90 ยังไงยังงั้นเลย ข้าวของโบราณต่าง ๆ ที่นำมาจัดในร้าน “ยายเต็ม” นั้นเป็นพวกเฟอร์นิเจอร์โบราณ ตู้โชว์สินค้าและสินค้าแบบร้านขายของชำ (ร้านโชห่วย) สมัยก่อน รวมไปถึงรถมอเตอร์ไซค์และรถคลาสสิกรุ่นเก่า ๆ เรียกได้ว่ามีมุมให้ถ่ายรูปสวย ๆ เพียบ ทำให้รู้สึกว่ามาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม ๆ 

สำหรับเมนูอาหารร้านยายเต็มก็จะเน้นอาหารเวียดนามเป็นหลัก ซึ่งอาหารเวียดนามนั้นก็จะมีแบบสั่งเป็นจาน ๆ กับแบบชุดรวมที่มีทั้งชุดรวมเล็ก ชุดรวมกลาง และชุดรวมใหญ่ โดยชุดรวมแต่ละชุดก็จะมีราคาแตกต่างกันตามเมนูอาหาร คือ ชุดรวมเล็ก มีทั้งบั้นหอย (เส้นหมี่หน้าหมู) แหนมเนือง (หมูย่าง) หยอยก๊วง (เปาะเปี๊ยะสด) และจ๋าหย่อ (เปาะเปี๊ยะทอด) ส่วนชุดรวมกลาง ก็จะเป็นเมนูเดียวกับชุดรวมเล็ก 4 เมนู และเพิ่มเมนูบั้นแส่ว (ขนมเบื้องญวน) อีกหนึ่งเมนู และ ชุดรวมใหญ่ ก็จะเป็นเมนูเดียวกับชุดรวมกลาง เพียงแต่เพิ่มก๊าจ๋า (ทอดมันญวน) อีกหนึ่งเมนู ในราคา 480 บาท ไม่ทราบว่าราคาของชุดรวมเล็กกับชุดรวมกลางนั้นราคาเท่าไหร่ เพราะในเมนูของร้านไม่ได้บอกราคาไว้ บอกแค่ราคาชุดรวมใหญ่เท่านั้น แต่แนะนำว่าหากมากันเป็นกลุ่มหรือต้องการกินอาหารหลายอย่าง ให้สั่งชุดรวมใหญ่จะคุ้มกว่า ไม่ต้องคิดเมนูให้เหนื่อยว่าจะกินเมนูไหนดี แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือผักสดที่จัดใส่ในตะกร้าจานใหญ่ น่ากินมาก ๆ หากไม่พอกินก็สามารถขอเพิ่มได้

ตลาดร้อยเสา หรือ ตลาด 100 เสา

 


ประวัติความเป็นมา

ตลาดร้อยเสา หรือ ตลาด 100 เสา เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก ต้องใช้เสามากกว่า 100 ต้น ในการสร้าง โดยตั้งอยู่ในบริเวณตำบลเพ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทางเทศบาลตำบลบ้านเพ ได้จัดสร้างขึ้นมาใหม่ให้มีขนาดใหญ่สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ๆ ที่มาเที่ยวบ้านเพ เกาะเสม็ด และชายหาดของจังหวัดระยอง โดยเฉพาะแก้ปัญหารถติดในบริเวณตลาดบ้านเพเดิม จึงเป็นตลาดที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการแวะซื้อของฝากก่อนกลับบ้าน เพราะตลาดนี้มีสินค้าแทบทุกประเภท ทั้งของกิน ของที่ระลึก มีร้านขายผลิตภัณฑ์ทะเลแบบตากแห้งมากมาย ทั้งปลาเค็ม ปลาหมึกตากแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ น้ำปลา ผลไม้แปรรูปเพื่อเป็นของกินเล่น พวกทุเรียนทอดกรอบ ทุเรียนกวน มังคุดกวน กล้วยฉาบ ท๊อฟฟี่รสต่าง ๆ หรือจะเป็นของฝากประเภทหมวก เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้านจากเปลือกหอยก็มี และภายในตลาดยังมีอาหารเครื่องดื่มหลายอย่างให้บริการ ทั้งนี้ ตลาดยังมีลานจอดรถกว้างขวางอยู่บริเวณด้านหน้า สามารถรองรับรถทัวร์เข้ามาจอดได้ อาหารทะเลแปรรูป เป็นสินค้าพื้นบ้านที่ขึ้นชื่อของจังหวัดระยอง มาเนิ่นนาน ถ้าพูดถึง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง กะปิ น้ำปลา หลาย ๆ คนมักจะนึกถึงตลาดในจังหวัดแถบชายทะเล ซึ่งระยองก็เป็นแหล่งผลิตสินค้าเหล่านี้ เป็นอันดับต้น ๆ ของฝากของที่ระลึก เป็นสิ่งคู่กันเมื่อได้มาเที่ยวจังหวัดระยอง ผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอยประดิษฐ์มากมาย มีให้เลือกซื้อจากหลายร้านค้าในตลาดร้อยเสาแห่งนี้ ซึ่งคุณจะได้พบกับรูปมากมายจากฝีมือของคนในท้องถิ่น ผลไม้ เป็นสิ่งขึ้นชื่อของจังหวัดระยอง หากเอ่ยถึงทุเรียนขึ้นมา โดยทั่วไปมักจะนึกถึงทุเรียนระยองมาเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งเราเป็นจังหวัดที่มีการปลูกผลไม้ตามฤดูกาล อย่างทุเรียน เงาะ มังคุด สละ ฯลฯ อยู่เป็นจำนวนมาก


“เตี๋ยวปิ่นโต@วัดบางแขยง”



 “เตี๋ยวปิ่นโต@วัดบางแขยง”

เตี๋ยวปิ่นโต@วัดบางแขยง หรือวิสาหกิจชุมชนบ้านสมุนไพรและของดีบางแขยง  ตั้งอยู่ที่บ้านดอนใหญ่ หมู่ที่ 11  ต.โนนห้อม  อ.เมืองปราจีนบุรี  จ.ปราจีนบุรี  ที่นี่เป็นร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยวที่มีบรรยากาศสุดชิล เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ภายในวัดบางแขยงท่ามกลางดงต้นไผ่ตง  ดั่งคำขวัญของจังหวัดปราจีนบุรีที่ว่า “ศรีมหาโพธิ์คู่บ้าน ไผ่ตงหวานคู่เมือง ผลไม้ลือเลื่อง เขตเมืองทวารวดี” ซึ่งนับเป็นพืชที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปราจีนบุรีและเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่มาอย่างยาวนาน  ให้บรรยากาศร่มรื่น  หรือใครชอบบรรยากาศริมน้ำก็มีโซนแพ ก็จะได้อีกบรรยากาศในการนั่งห้อยขาเอาเท้าจุ่มน้ำนั่งทานกันไป คุยไป อิ่มก็เอนกายพักท้อง ลมพัดเย็น ๆ มันฟินมาก ได้ฟิลบ้านริมคลองแบบต่างจังหวัด บรรยากาศลมพัดเย็น ๆ ทานอาหารเพลิน ๆ พร้อมกับฝูงปลาและฝูงเป็ดที่จะคอยต้อนรับลูกค้าอยู่ด้านล่างส่วน  คนที่นั่งรับลมในสวนไผ่ก็จะได้ฝังเสียงธรรมชาติร้องเพลงให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินกัน

เมนูที่นี่ มีหลากหลายมาก ทั้งอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเสิร์ฟมาในปิ่นโตแบบโบราณให้กลิ่นอายบรรยากาศของชายทุ่งริมคลองในสมัยก่อน นอกจากนั้นยังมีเมนูอาหารอื่นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวกะเพราถาดที่เสิร์ฟในถาดขนาดใหญ่มีใบตองสีเขียวสดรองบนภาชนะ   ผัดไทยกุ้งสดที่เป็นเมนูพิเศษ คือ ใช้กุ้งตัวใหญ่สุดคุ้ม และเมนูอาหารอีสาน ส้มตำถาด บอกเลยเรื่องรสชาติ ที่นี่เด็ดไม่ผิดหวังแน่นอน

ข้อมูลเนื้อหาโดย นางสาวสุชานันท์  รุ่งเรือง

เรียบเรียง โดย  นางสาวสุวรรณา  แย้มดี

ภาพประกอบโดย https://www.facebook.com/teowpinto

Classic Café Halal Food นครนายก



 

จากสถานการณ์โควิด 19 ที่ยังคงแพร่ระบาดในทุกพื้นที่ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลาย ๆ คนอาจหวั่นใจ หากต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการใช้บริการในร้านอาหารด้วย ความหิวที่ไม่เข้าใครออกใคร ร้านนี้เด็ดจริง ๆ เราจะพาคุณไปตามหาสถานที่ท่องเที่ยวในตำบลชุมพล ร้านสวย ๆ น่านั่งท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่งร้านเก๋ ๆ มีเพลงฟังเบา ๆ สบาย ๆ สไตล์คลาสสิก ๆ มีมุมให้ถ่ายรูปเพียบ ดื่มด่ำกับบรรยากาศดี๊ดี เจ้าของร้านน่ารัก อัธยาศัยดี คงหนีไม่พ้นร้านนี้จริง ๆ  ร้าน Classic Café Halal Food คิวคือแบบเยอะม๊ากมากแต่ก็รอได้ ไม่เคยทำให้ผิดหวังทุกครั้งที่ไปทานร้านนี้ อาหารที่หลากหลายเมนูเด็ด ๆ จัดจ้าน แซ่บ ๆ ให้คุณลูกค้าทุกท่านได้เลือกซื้อเลือกหากันแบบฟิน ๆ สั่งกลับไปทานที่บ้านเหมาะมาก ๆ ในช่วงกักตัว Work from Home แบบนี้จ้า
    
ทางร้านเน้นอาหารสดใหม่ทุกวัน ซึ่งมั่นใจได้ว่าสะอาด ปลอดภัย 100 % ยิ่งกิน ยิ่งฟิน หยุดกินไม่ได้ อร่อยแบบเต็มปากเต็มคำ มีการคัดสรรเมนูเด็ด ๆ เรียกน้ำลายยายไหลย้อยกันก่อนสั่งอาหาร เรามาช็อปปิงกับเมนูเด็ดอาหารหลากหลายสไตล์จากทางร้าน  เมนูที่ขึ้นชื่อคือ “โคตรยำรวม” แซ่บ ๆ รสเด็ด สุดจัดจ้าน ในย่านนี้และเมนูอื่น ๆ เช่น “สเต็ก” เนื้อชุ่มฉ่ำ “ส้มตำ” ยำหอยแครง และ “พิซซ่า” ที่ทำสดใหม่ออกจากเตาหอมกรุ่น ชีสยืด ๆ แป้งบางเนื้อนุ่ม หน้าแน่น ๆ จากการตกแต่งร้านด้วยสไตล์คลาสสิกนี้เอง ทำให้ลูกค้าหลาย ๆ ท่านชื่นชอบและหลงใหลในบรรยากาศของร้าน “คนไทยควรได้มากินสักครั้งในชีวิต” ดึงดูดลูกค้าด้วยรสชาติน้ำมะพร้าวแท้สุดเข้มข้น ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ดีที่สุด หอมหวานมันสุดฟินขายดีตลอดกาล “จัดเต็มขนาดนี้ ขอบอกเลยว่าพลาดไม่ได้!" หลายคนคงอยากจะเข้าไปสัมผัสประสบการณ์กิน - ดื่มแบบชิล ๆ ในร้าน Classic Café Halal Food แล้วใช่ไหม? บอกเลยว่าช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่สุด พร้อมเสริ์ฟความอร่อยแบบฟิน ๆ กันไปเลย

ตอนนี้ร้านเปิดให้บริการแล้วนะคะ ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งทานที่ร้านกินบรรยากาศฟิน ๆ หรือจะสั่งใส่ถุงกลับไปทานที่บ้านก็ได้ ขึ้นชื่อว่าร้านอาหารนั้น คนขายแต่ละคนก็จะสร้างสรรค์เมนูแปลกใหม่ มีศิลปะในการตกแต่งจานอาหารรูปแบบที่หลากหลายให้น่ากิน เพื่อสร้างจุดขายให้กับร้านของตัวเอง เน้นการบริการที่ดี น่าประทับใจตามเทรนด์ความชอบของลูกค้า ทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเพศทุกวัย เป็นการกระตุ้นยอดขายอีกทางหนึ่ง ร้านสวย ๆ บรรยากาศสบาย ๆ เจ้าของร้านเป็นกันเองแบบนี้ที่ควรค่าแก่การเช็คอิน มีความคลาสสิกและมีความฟินแบบชิล ๆ น่าแวะเหลือเกิน ได้ลิ้มลองทานอาหารมาแล้วหลายอย่าง อร่อยทุกอย่างเลย จะเป็น “คนนครนายกหรือนักท่องเที่ยว” ก็ไม่ควรพลาด 

ลูกค้าท่านใดกำลังมองหาอาหารอร่อยแซ่บ ๆ จัดจ้าน ทานเล่น ๆ ของน้องฟาร่า ก็ลองแวะเวียนไปหาซื้อได้ที่ บ้านทำนบ หมู่ที่ 1 ตำบลชุมพล อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก รับทำข้าวกล่อง อาหารว่างและรับจัดอาหารนอกสถานที่ พิเศษสุดกับช่องทางที่หลากหลายในการสั่งซื้อผ่านเฟซบุ๊ก Fara Somanee ผ่าน LINE ID : farasomanee และโทรสั่งจองหรือสำรองโต๊ะล่วงหน้า ติดต่อน้องฟาร่าได้ที่โทร. 09 8290 5745 อย่าลืมชวนเพื่อน ๆ แวะไปอุดหนุนที่ร้านของน้องฟาร่ากัน 

รายละเอียดของแหล่งเรียนรู้ :

เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 น.

สถานที่ตั้ง  บ้านเลขที่ 115  หมู่ที่ 1  บ้านทำนบ  ตำบลชุมพล  อำเภอองครักษ์  จังหวัดนครนายก 

น้ำพริกปลากุเลา

น้ำพริกปลากุเลา


ตำบลบางสมัคร อยู่ในพื้นที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม มีลำคลองหลายสายไหลผ่านหมู่บ้านของตำบลบางสมัคร และเชื่อมต่อไปยังหมู่บ้านอื่นในตำบลใกล้เคียงลักษณะภูมิประเทศเหมาะแก่การทำการเกษตร ประชากรในเขตเทศบาลตำบลบางสมัคร ประกอบอาชีพเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา และอาชีพประมงชายฝั่งแม่น้ำบางปะกง


ปลากุเลา เป็นปลาทะเลที่มีถิ่นกำเนิดในอ่าวไทยมาช้านาน และแพร่สายพันธุ์บริเวณปากอ่าว  บางปะกง ลักษณะของปลากุเลา มีรูปร่างยาวเรียว ลำตัวค่อนข้างหนา แบนข้าง หัวค่อนข้างเล็ก ปากสั้น มีฟันแหลมคม ก้านครีบส่วนล่าง แยกออกเป็นสี่เส้น อยู่ในทะเลที่อบอุ่นไม่ห่างจากชายฝั่งมากนัก อาศัยอยู่ตามหน้าดินโคลน บางครั้งเข้าไปอยู่ในน้ำกร่อย พบทั่วไปในฝั่งอ่าวไทย เป็นปลาที่นิยมบริโภค เนื้อนุ่ม รสชาติดี นำมาทำเป็นปลาเค็ม  มีฉายาว่า “ราชาแห่งปลาเค็ม” สมัยก่อนชาวประมงริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง ได้ปลากุเลาสดจำนวนมาก นำมาแปรรูปเป็นปลาเค็มเพื่อเก็บไว้ทานได้นานคนพื้นบ้านนิยมนำมาแปรรูปโดยการตากแห้งและทำปลากุเลาเค็ม มากกว่าทานสด ผ่านกรรมวิธี “ปลากางมุ้ง” อบโดยพลังงานแสงอาทิตย์ มีการรักษาความสะอาดปราศจากฝุ่นและแมลงทุกชนิด เป็นการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้ได้นาน
น้ำพริกปลากุเลาแม่หนู มีจุดเด่นของผลิตภัณฑ์อยู่ที่ความอร่อยเฉพาะตัว เพราะมีส่วนผสมของน้ำพริกเผา และน้ำพริกตาแดง เนื้อน้ำพริกมีความหนืดลงตัว ผสมกับเนื้อปลากุเลา เพิ่มคุณค่าโภชนาการน้ำพริกไทย รสชาติกลมกล่อม อร่อย รสเผ็ดปานกลาง หอมเนื้อปลากุเลา เพราะใช้วัตถุดิบสดสะอาด มีกระบวนการผลิตปลอดภัย ไร้สารปรุงแต่ง ได้รับการคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์ระดับห้าดาว ประเภทอาหารตามโครงการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ปี พ.ศ. 2562 (OTOP Procuct Champion) ได้รับประกาศณียบัตรจาก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษณ์  รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ทั้งนี้ได้มีการพัฒนาปรับปรุงสร้างจุดเด่นให้ผลิตภัณฑ์  และบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยเป็นประจำอยู่เสมอมีรสชาติอร่อยเข้มข้น เป็นสินค้าชุมชน OTOP ระดับ 5 ดาว ตำบลบางสมัครกระบวนการผลิตน้ำพริกปลากุเลา เลือกวัตถุดิบที่มีความสด สะอาด ปลอดภัยไร้สารปรุงแต่ง นำมาล้างทำความสะอาด มีวัตถุดิบที่ใช้ในการทำน้ำพริก ดังนี้ ปลากุเลาแห้งบด หอมแดง พริก กระเทียม น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ในปริมาณที่เท่ากัน ราคาสินค้า น้ำพริกปลากุเลา มี 2 ขนาด ขนาด 150 กรัม ราคากระปุกละ 35 บาท และขนาด 250 กรัม กระปุกละ 60 บาท


Facebook: ปลากุเ ลาเค็ม แม่หนู บางปะกง @pakuraokem.maenu.bangpakong 
ช่องทางการสั่งซื้อ: OTOP Today Padrew https://web.facebook.com/otoptodaypadrew
ชื่อผู้ติดต่อ : กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่หนู / คุณสุวรรณา สรรธนสมบัติ  
เบอร์โทร/ LINE: 08 9938 7523  
ที่อยู่ : เลขที่ 174/29 หมู่ที่ 2 ตำบลบางสมัคร อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา 
พิกัด: ถนนบางนา-ตราด กม.43 เข้าหมู่บ้านศรีเทพไทย ซอย 40 บ้านเลขที่ 174/29 หมู่ที่ 2 ตำบลบางสมัคร อำเภอบางปะกง ฉะเชิงเทรา  (1.1 กม.)
ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางสาวปทิตตา ตันวิมลกุล
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวปทิตตา ตันวิมลกุล
ข้อมูล TKP อ้างอิง https://shorturl.asia/GPFis

ขนมบันดุ๊ก

ขนมบันดุ๊ก


ขนมบันดุ๊ก หรือ มันดุก เป็นขนมชนิดหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดตราดที่มีการสืบทอดมาช้านานจากรุ่นสู่ปัจจุบันจะพบขนมบันดุ๊กได้หากมีการจัดงานประเพณีหรืองานบุญต่าง ๆ ตลอดจนใช้ประกอบในพิธีทางศาสนาของจังหวัด นักวิชาการท้องถิ่นเมืองตราด สันนิษฐานถึงชาติกำเนิดของ “ขนมบันดุ๊ก” เป็นสองทาง คือ อาจมาจากเมืองเขมร หรือ มาจากเมืองญวน ซึ่งหากพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์ของเมืองตราดจะพบว่าพลเมืองของทั้งสองประเทศต่างก็เคยถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในเมืองตราดทั้งคู่เช่นเดียวกัน คนทั่วไปจะเรียกขนมชนิดนี้ว่า “ขนมเปียกปูนขาว” โดยเป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้ากวน และทานกับน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำตาลอ้อยและถั่วลิสงคั่วป่น สามารถทำได้ง่าย  มีขั้นตอนดังนี้

ส่วนผสมแป้ง
แป้งข้าวเจ้าโม่สด 2 ถ้วยตวง
แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ถ้วยตวง
น้ำใบเตยคั้นเข้ม ๆ 1 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 4 1/2 ถ้วยตวง
ถั่วลิสงคั่วหยาบ
- ผสมแป้งข้าวเจ้าโม่สดและแป้งมันสำปะหลังให้เข้ากัน ค่อย ๆ ใส่น้ำเปล่าแล้วคนให้เข้ากัน
- ใส่น้ำใบเตย คนให้เข้ากันอีกครั้ง เทใส่กระทะทอง ยกขึ้นตั้งไฟกวนจนข้นเหนียว หลังจากนั้นจึงเทใส่ถาด พักให้เย็นตัว
- ตัดขนมเป็นชิ้น ราดน้ำเชื่อม น้ำกะทิ พร้อมโรยถั่วลิสง

ส่วนผสมน้ำเชื่อม
น้ำตาลทรายแดง 3 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 2  ถ้วยตวง
- ผสมน้ำตาลทรายแดงและน้ำเปล่า ยกขึ้นตั้งไฟพอเดือด เบาไฟเคี่ยวพอข้นเหนียวแล้วยกลง

ส่วนผสมน้ำกะทิ
หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ช้อนชา
เกลือป่นหยาบ 1 ช้อนชา
- ผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟ คนจนแป้งสุกมีลักษณะข้นเล็กน้อย จึงยกลง

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าขนมบันดุ๊กนี้จะมีลักษณะคล้ายกับขนมเปียกปูน คนทั่วไปจึงมักเรียกขนมชนิดนี้ว่า “ขนมเปียกปูนขาว” แต่มีวิธีการรับประทานแตกต่างกัน เนื่องจากขนมบันดุ๊กจะเป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้ากวน และเวลาทานก็ตัดขนมเป็นชิ้น ราดด้วยน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำตาลอ้อยและโรยด้วยถั่วลิสงคั่วป่น


ปัจจุบันชุมชนโภคไพร อำเภอเมือง จังหวัดตราด ได้มีความพยายามประสานงานหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยสร้างกระบวนการส่งเสริมและรักษาขนมบันดุ๊ก โดยการผลักดันให้ขนมบันดุ๊กเข้าไปอยู่ในงานบุญประเพณีและงานอื่น ๆ ของจังหวัดตราด เพื่อเป็นการสืบทอดและถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญนี้ให้คนรุ่นหลังได้เห็นและได้สัมผัส รวมถึงการสนับสนุนให้บรรจุเข้าไปอยู่ในแผนงานการบริหารจัดการประจำปีของส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจและเรียนรู้ในคุณค่าแห่งรากวัฒนธรรม ตลอดจนการสร้างอัตลักษณ์ของชุมชนได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

ขนมบันดุ๊ก ได้รับการประกาศเป็นรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของจังหวัดตราด ประจำปี พ.ศ. 2560

ผู้ให้ข้อมูล   นางอำพา  ขนรกุล
ผู้เรียบเรียง   นางสาวพรกมล  ขนรกุล
ภาพโดย  นางสาวพรกมล  ขนรกุล

คาเฟ่ญี่ปุ่น เมืองสระแก้ว


วันนี้ไปรับชมไอเดียร้านคาเฟ่หลังเล็ก ๆ ในสไตล์มินิมอลญี่ปุ่น ที่มีชื่อว่า Mine Cafe マインカフェ  คาเฟ่ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองสระแก้ว  เป็นร้านคาเฟ่ของคุณ  Nilobon Thaisong  ที่ได้นำมาเเบ่งปันไว้ในกลุ่มบ้านมินิมอล  โดยงบประมาณก่อสร้าง 2 เเสนบาท  ของเลือกเองทุกอย่างแบบประหยัดสุด ๆ สวนทำเองทั้งหมด

ปิ้งงบ

 ปิ้งงบ


ปิ้งงบ เป็นอาหารท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยเลิศอย่างหนึ่งของคนตำบลบางเสร่ ที่เป็นถิ่นประมงมีปลาเป็นจำนวนมาก เมื่อผู้ชายออกทะเลหาปลา ผู้หญิงก็จะนำของทะเลที่หาได้เหล่านั้นมาช่วยกันแปรรูปอาหาร
จึงมีเมนูที่หลากหลาย และหนึ่งในนั้นก็คือการทำ “ปิ้งงบ” หลาย ๆ คนคงสงสัยกันใช่ไหมว่าปิ้งงบ คืออะไร

ปิ้งงบ ก็คือ “ห่อหมกย่าง” ที่ทำมาจากเนื้อปลาผสมคลุกเคล้ากับเครื่องแกงและสมุนไพรต่าง ๆ ส่วนผสมก็จะคล้าย ๆ กับปลาทอดมัน ปลาจับไม้ ห่อหมกปลา ปิ้งงบจะแตกต่างจากห่อหมกในเรื่องส่วนผสม คือ ห่อหมกจะใส่หัวกระทิมาก ส่วนปิ้งงบจะใส่หัวกะทิน้อย เพื่อให้ส่วนผสมต่าง ๆ มีความข้น ไม่เหลว สะดวกในการห่อปิ้ง ซึ่งมีส่วนประกอบ ดังนี้ ใบตอง เนื้อปลาขูด พริกแกงเผ็ด หัวกะทิ ใบมะกรูด ใบโหระพา ไข่ไก่ น้ำปลา นำส่วนผสมมาคลุกเคล้าแล้วห่อด้วยใบตอง นำมาปิ้งบนเตาถ่านจนสุกเป็นสีเหลืองส้ม ส่งกลิ่นหอมน่ารับประทาน เป็นอาหารไทยเก่าแก่ที่นับวันจะหาทานยากขึ้นทุกที



ปิ้งงบป้าอ๋อง นางสุภรณ์ สิริปราณชล หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม ป้าอ๋อง เป็นคนดั้งเดิมมีบ้านอยู่ริมชายทะเลบางเสร่ ได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากครอบครัว ในเรื่องการแปรรูปอาหารทะเล และมีความชอบหลงใหลในการทำอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้ทำปิ้งงบในแบบสูตรของรุ่นพ่อแม่ซึ่งมีความอร่อย เป็นที่รู้จักของคนในชุมชนและขายมาเป็นเวลา 40 กว่าปี และไม่ว่าใครที่ได้ลิ้มลองปิ้งงบของป้าอ๋องก็มักจะชอบ และต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยติดใจ นอกจากจะทำปิ้งงบอร่อยแล้วนั้นป้าอ๋องก็ยังทำน้ำยาปูได้อร่อยมากอีกด้วย ใครที่อยากจะลิ้มลองปิ้งงบป้าอ๋องจะเปิดขายประจำที่บ้านทุกวันเสาร์ และที่งานถนนคนเดินสายวัฒนธรรมพื้นบ้านชุมชนชายหาดบางเสร่ (อาทิตย์ที่ 2 ของเดือน) และส่วนใครต้องการเรียนรู้สูตรการทำปิ้งงบก็สามารถไปที่บ้านได้ เพราะป้าอ๋องไม่หวงสูตร ทำกินได้ทำขายก็ได้กำไร

รายการทีวีมาถ่ายทำหลายรายการ เช่น รายการหลงรักษ์ยิ้ม รายการคาราวานสำราญใจ กรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 11 และอีกหลาย ๆ รายการที่มาถ่ายทำ ได้ไปออกงานที่เมืองทองธานี จนปัจจุบันเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ “ปิ้งงบป้าอ๋องบางเสร่”

ผู้ให้ข้อมูล : นางสุภรณ์  สิริปราณชล

เรียบเรียง/ภาพถ่าย : นางสาวกุสุมา  เพชรสีนวล

กศน.ตำบลบางเสร่ ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 20250


สวนละไม


ด้วยพื้นที่สวนผลไม้กว่า 500 ไร่ โอบล้อมด้วยภูเขาและป่าไม้ธรรมชาติอากาศเย็นสบายด้วยพรรณไม้นานาชนิด วางแผนการปลูกผลไม้เชิงท่องเที่ยวมามากกว่า 10 ปี โดยจัดวางผังปลูกผลไม้แต่ละชนิดอย่างเป็นระบบ มีผลไม้ไว้คอยต้อนรับท่านหลากหลายชนิด อาทิ ทุเรียน เงาะ มังคุด ส้มโอ ชมพู่ ลำไย สละแก้วมังกร ลองกอง มะเฟือง มะยงชิด องุ่น ฯลฯ เป็นต้น สนุกกับบรรยากาศ และความสุขจากการเก็บผลไม้สด ๆ จากต้น สะดวกสบายด้วยรถบริการเข้าชมสวน สวนละไม เปิดบริการให้ลูกค้าและนักท่องเที่ยวทุกท่านเข้ามาสัมผัสบรรยากาศความสุข และสนุกสนาน และการทานผลไม้แบบบุฟเฟ่ต์ ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติของสวนผลไม้บนภูเขา ตั้งแต่เวลา 8:00-17.00 น.

โดยกิจกรรมที่สวนละไม จะแบ่งตามฤดูกาลต่าง ๆ ของผลไม้ดังนี้ เดือน เมษายน - กรกฎาคม ของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงฤดูร้อน หน้าผลไม้ เงาะ มังคุด ทุเรียน สละ ลองกอง ลำไย ฯลฯ สวนละไมจะมีกิจกรรม "เที่ยวชมสวน และทานบุฟเฟ่ต์ผลไม้" และช่วงปลายปี เดือน ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงฤดูฝนและหนาว สวนละไมจะมีเปิดกิจกรรมเที่ยวไร่สตอเบอร์รี่ ทุ่งดอกคอสมอส พร้อมด้วยสวนส้มเขียวหวาน สวนลำไย สวนดอกไม้

อย่างไรก็ตามกิจกรรมต่าง ๆ จะปรับเปลี่ยนตามฤดูกาล ทางสวนละไมขอความกรุณาลูกค้าติดต่อสอบถามรายละเอียดกิจกรรม และวันที่เปิดกิจกรรมอีกครั้งทางช่องทาง Call Center 09 8737 4983, 09 8737 4984, 09 8737 4985

    SUAN LAMAI (Rayong) "Kingdom of Fruit on the Mountain"

    With area of more than 500 Rais, the garden is surrounded by mountains, natural forest and varieties of plants as well as the experience of cool atmosphere throughout the year. It took more than 10 years for us to design and complete the making of the garden. Each plot of plant has been systematically and aesthetically planned and cultivated. Visitors would be welcomed with a variety of fruits, including durian, rambutan, mangosteen, pomelo, rose apple, longan, Zalacca, dragon fruit, langsat, starfruit, sweet yellow Marian plum and grapes etc. Enjoy yourself while picking up fresh fruits from our trees. We also provide visitors with vehicles to transport into the garden as well as stand-by staffs who will provide information to visitors throughout the trip. Our garden will open from 08.00 AM - 05.00 PM

วัดสมานรัตนาราม

วัดสมานรัตนาราม แหล่งรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแปดริ้ว


วัดสมานรัตนาราม ตั้งอยู่ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อยู่ระหว่างอำเภอบางคล้าและอำเภอคลองเขื่อน ริมแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ตำแหน่งที่ตั้งของวัดสมานรัตนารามอยู่ในตำแหน่ง “ฮวงจุ้ยมงคล” (ถุงเงินถุงทอง) เป็นแหล่งรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประทานพรให้ผู้คนสมปรารถนา จึงมีผู้คนมากมายมาที่วัดมานรัตนารามจุดเด่นสำคัญของวัดสมานรัตนาราม มีองค์พระพิฆเนศปางนอนเสวยสุขใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สูง 16 เมตร ยาว 22 เมตร เนื้อชมพู ลักษณะกึ่งนั่งนอนตะแคง โดยพระหัตถ์ซ้ายถืองาที่หัก พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว ความหมายของพระพิฆเนศปางนอนเสวยสุข คือ ความสุขสบาย ความบริบูรณ์มั่งคั่งพร้อมทุกด้าน รื่นรมย์ ไร้ทุกข์ ไร้ความเศร้าหมอง อิ่มหนำสำราญ มีกิน มีโชคลาภ จะนำความสุขสบายมาสู่ผู้บูชา ถือเป็นมหามงคล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่ประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา รอบฐานมีพระพิฆเนศ 32 ปาง ให้ได้ขอพรสักการะและเป็นห้องจัดแสดงวัตถุมงคล ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมและสำหรับผู้ที่ต้องการบูชาองค์พระพิฆเนศอีกด้วย
 



เคล็ดลับการขอพรพระพิฆเนศจะมีปูนปั้นรูปหนูอยู่สองตัวชื่อว่า หนูมุสิกะ ซึ่งเป็นต้นห้องของพระพิฆเนศ จะมีนักท่องเที่ยว ต่อแถวยาวยืนกระซิบที่รูปปั้นหนู เชื่อว่าถ้าอยากได้สิ่งใด ขอพรสิ่งใดให้สมหวังให้ไปกระซิบที่หูหนูแล้วหนูจะนำสิ่งที่เราขอนั้นไปบอกท่านพระพิฆเนศให้ประทานสิ่งที่ต้องการกลับมา แต่สิ่งที่สำคัญคืออย่าลืมติดสินบนหนู ด้วยการทำบุญใส่ตู้ ที่วางไว้ด้านหน้า และเวลาไปกระซิบบอกท่านหนูให้เราเอามืออีกข้างอ้อมไปปิดรูหูของท่านหนูอีกข้างด้วย ทั้งนี้เพราะป้องกันการฝากขอพรจะได้ไม่เข้าหูซ้ายทะลุออกไปหูขวานั่นเอง


พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระ 5 พี่น้อง

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระ 5 พี่น้อง มีความเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ในเรื่องโชคลาภ ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้สมัครเรียน สมัครงาน มักมาบนบานขอให้ได้ตามประสงค์ และบนบานให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย


หลวงพ่อโต

องค์ใหญ่ที่สุดในฉะเชิงเทรา นิยมกราบไหว้เพื่อขอพรเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะเชื่อว่าท่านสามารถขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บให้หายในเร็ววัน และสามารถคุ้มครองผู้กราบไหว้ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตราย


เจ้าแม่กวนอิม หรือพระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นปางประทานบุตรและโชคลาภ คนทั่วไปมีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องการขอบุตร โดยเฉพาะบุตรเพศชาย รวมถึงความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ การงาน เงินทอง และโชคลาภองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย


องค์ท้าวมหาพรหมใหญ่ที่สุดในโลก 
ประชาชนนิยมกราบไหว้ขอพรให้สำเร็จในหน้าที่การงาน


พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ หรือช้างสามเศียรมีความเชื่อว่าพระอินทร์เป็นเจ้าแห่งช้างทั้งปวงในสากลจักรวาล มีช้างเป็นพาหนะคู่พระทัย เป็นเอกลักษณ์ของการทำความดีและความอุดมสมบูรณ์ นิยมเดินลอดท้องช้างเพื่อสะเดาะเคราะห์ และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต


พระราหู ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีความเชื่อว่าการกราบบูชา พระราหูจะนำโชคลาภ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ความเจริญก้าวหน้า ร่ำรวยเงินทองมาให้ รวมถึงแก้เคล็ดผู้ที่มีดวงราหูเข้าแทรก นิยมไหว้เพื่อแก้เคล็ด จะช่วยปัดเป่าเรื่องร้าย ๆ ให้กลายเป็นดี เกื้อหนุนดวงชะตาชีวิต



   ดอกบัวกลางแม่น้ำวิจิตรสวยงาม มีพระบรมสารีริกธาตุให้ประชาชนได้กราบไหว้ 
อีกทั้งยังมี รูปปั้นพญานาค รูปทรงสีสันสวยงามเป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมกันอีกด้วย

การส่งเสริมการท่องเที่ยวจากชุมชนและภาครัฐ โดยให้คนในชุมชนได้จัดจำหน่ายสินค้า มีบริการล่องเรือชมแม่น้ำบางปะกงเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน ปัจจุบันวัดสมานรัตนารามไม่ได้รู้จักเฉพาะในหมู่คนไทยในประเทศ แม้แต่ต่างประเทศทั่วโลกก็รู้จัก ผู้คนเดินทางมากราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์วันละหลายหมื่นคน ยิ่งทำให้วัดพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง

เวลาเปิด – ปิด : วัดสมานรัตนาราม เปิดให้เข้าสักการะ ทุกวัน เวลา 08.00 - 18.00 น.

ตำแหน่งที่ตั้ง : ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง หมู่ที่ 11 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา

พิกัด : 13.72264, 100.52931 

การเดินทาง : ใช้ Google map โดยเลือกได้ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางมอเตอร์เวย์ หรือเส้นทางมีนบุรี

ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางสาวภาวิณี ผมงาม

ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวภาวิณี ผมงาม

ข้อมูล TKP อ้างอิง https://shorturl.asia/iT5xM

อิ่มอร่อย! อาหารชาวไทยเชื้อสายพวน พ้อกันมื้อแลงเด้อ! ณ บางกุ้งทุ่งข้าว

 

ริมถนนสายปราจีนบุรี-ศรีมหาโพธิ ที่หมู่บ้านบางกุ้ง หมู่ที่ 3 ต.บางกุ้ง อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี เลยจากตัวเมืองปราจีนบุรี ผ่านหมู่บ้านไทยพวน ทั้งบ้านดงกระทงยาม บ้านหาดยาง และบ้านบางกุ้ง ฝั่งขวามือ จะมีร้านอาหารตั้งใหม่จำหน่ายอาหารพื้นบ้านชาวไทยพวน ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยพวนชื่อ พ้อกันมื้อแลงเด้อ!...ณ บางกุ้งทุ่งข้าว ร้านปลูกแบบเรียบง่ายชั้นเดียว หลังคามุงตับจากร่มเย็น มีอาหารพื้นถิ่นให้เลือกชิมอร่อย ๆ หลากหลาย

“พ้อกันมื้อแลงเด้อ ณ บางกุ้งทุ่งข้าว”... นอกจากเป็นร้านอาหารชาวไทยพวนแล้ว ยังจะเป็นแหล่งเชื่อมสานความสัมพันธ์ ของชาว ต.บางกุ้ง,ตำบลหาดยาง และ ตำบลดงกระทงยาม อ.ศรีมหาโพธิ โดยที่ ต.บางกุ้ง มีทรัพยากรท้องถิ่นหรือวัตถุดิบที่ดีมาก เป็นที่ราบริมฝั่งแม่น้ำปราจีนบุรีทุกปีมีน้ำท่วม มีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะอาหารที่มาจากธรรมชาติ อาทิ ไหลบัว ที่อร่อย มีตลอดทั้งปี ที่จะนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย 

ชื่อบางกุ้ง เล่าขานกันว่า เป็นถิ่นที่อาศัยของกุ้งแม่น้ำ-แม่น้ำปราจีนบุรี ที่ชาวบ้านยังคงตกกุ้งแม่น้ำ ทำมาหากินหลังจากงานประจำกันตลอดทั้งปี

ที่ผ่านมานั้น มีประสบการณ์ร้านอาหาร ได้ประกอบกิจการด้านร้านอาหารมามากกว่า 30 ปี ได้เปิดร้านหลายที่ อาทิ ริมบ้านชาญเมือง อ.ศรีมหาโพธิ ปาล์มสวีทโฮมย์ อ.กบินทร์บุรี ร้านระเบียงนา อ.เมืองปราจีนบุรี

ที่นี่ จะเป็นมากกว่าร้านอาหาร อาทิ เป็นที่แลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรอินทรี ของเกษตรกรปราจีนบุรี เป็นที่พบเจอกันของผู้บริโภค พบกับเครือข่ายเกษตรอินทรีย์จังหวัดปราจีนบุรี ในการจัดนัดพบตลาดสีเขียว เกษตรกรผู้ทำผักอินทรีย์ส่ง รพ. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เกษตรอินทรีย์กลุ่มเขาไม้แก้ว ร้านกาแฟ-เครื่องดื่ม ผักพื้นบ้าน,อาหารปลอดภัย เมล็ดพันธุ์ไม้กระถางงาม ๆ ให้ได้มาเดิน ชม ช๊อป ชิม ได้เวลา 16:00 น. เป็นต้นไป”

หากต้องการพักผ่อน ได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ ติดทุ่งนา และ ริมน้ำ พร้อมเพลิดเพลินกับอาหารหลากรสและเครื่องดื่มสุดพิเศษ ดูวิวทิวทัศน์ เพลินตา ราคาโดนใจ พาญาติมิตร คนรักมาที่นี่ ...พ้อกันมื้อแลงเด้อ!...ณ บางกุ้งทุ่งข้าว ร้านเปิด เวลา 15.00 น. - 21.00 น. ริมถนนสายปราจีนบุรี-ศรีมหาโพธิ ใกล้ปากทางเข้า บ้านดงกระทงยาม กิโลเมตรที่ 15-16 ศรีมหาโพธิ ปราจีนบุรี 


ครัวลุงอ้วน กับข้าวพื้นบ้าน อาหารพื้นถิ่น

ร้านสวยตั้งอยู่ ริมคลอง ตลาดน้ำวัดประสิทธิเวช จริง ๆ ถือว่าเป็นทำเลที่ต้องเข้ามาพอสมควร แต่ก็มีคนรู้จักหลาย ๆ คนมาทานบ่อยเหมือนกันสำหรับร้านนี้ “ครัวลุงอ้วน” เค้าว่ากันว่าร้านอยู่ไกลแค่ไหนถ้าร้านนั้นมีดีจะต้องมีคนตามมากิน ดิฉันว่านี้ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่น่าประทับใจเช่นกันค่ะ


 

หลวงพ่อขาววัดนครธรรม

 





วัดนครธรรม
วัดนี้เป็นวัดโบราณเก่าแก่วัดหนึ่ง ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ หลวงพ่อขาว หรือ หลวงพ่อปูน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณนั่งขัดสมาธิสร้างด้วยปูนขาวจากหนองดินจี่ที่มีอายุ เก่าแก่กว่า 100 ปี พระพุทธรูป หน้าตักกว้าง 130.9 เซนติเมตร และ สูง 199 เซนติเมตร หลวงพ่อขาวหรือหลวงพ่อปูน มีชื่อเสียงด้านอภินิหาร ความศักดิ์สิทธิ์โดยเมื่อครั้งที่ได้อัญเชิญหลวงพ่อขาวจากวัดร้างบ้านจิกในปี พ.ศ. 2468 ในขณะอัญเชิญ มีปรากฏการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้น พระภิกษุสงฆ์ได้เห็นน้ำพระเนตรของหลวงพ่อขาวไหลออกมาอย่างชัดเจน พร้อมกับมีฝนตกลงมาอย่างหนัก จึงเป็นเรื่องกล่าวขานถึงอภินิหารของหลวงพ่อขาวมาจนปัจจุบัน ทางวัดนครธรรม เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสักการะทุกวันไม่มีวันหยุดหลวงพ่อขาว พระพุทธรูปเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี เป็นพระพุทธรูปโบราณนั่งขัดสมาธิสร้างด้วยปูนขาว (ซึ่งเป็นดินขาวจากหนองดินจี่) พระพุทธรูป หน้าตักกว้าง 130.9 เซ็นติเมตร สูง 199 เซ็นติเมตร มีชื่อเสียงด้านความศักดิ์สิทธิ์ โดยได้อัญเชิญหลวงพ่อขาวจากวัดร้างบ้านจิก มาเมื่อ พ.ศ. 2468 ในขณะอัญเชิญมีปรากฏการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้น พระภิกษุสงฆ์ได้เห็นน้ำพระเนตรของหลวงพ่อขาวไหลออกมาอย่างชัดเจน พร้อมกับมีฝนตกลงมาอย่างหนักพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากวัดปมะดุลลาราชะมหาวิหาร เมืองรัตนปุระ ประเทศศรีลังกา รอยพระพุทธบาทจำลองและพระสยามเทวาธิราช พระบรมสารีริกธาตุ ในประเพณีแห่พระบรมสารีริกธาตุช่วงตรุษจีน จะมีการอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานบนบุษบกด้านหน้าหลวงพ่อขาว ภายในวิหาร ให้ประชาชนได้สักการะเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน พระบรมสารีริกธาตุองค์นี้ พระครูวัฒนานครกิจ อดีตเจ้าอาวาสได้อัญเชิญมาจาก วัดเปมะดุลลราชะมหาวิหาร เมืองรัตนปุระ ประเทศ ศรีลังกา เมื่อ พ.ศ. 2535

วัดละหารไร่





ประวัติ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ท่านเกิดวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2422 โยมบิดาชื่อ แจ้ โยมมารดาชื่อ อินทร์ พอหลวงปู่ทิมท่านอายุได้ 17 ปี โยมบิดาก็ได้นำตัวไปฝากกับท่านพ่อสิงห์ ที่วัดได้เล่าเรียนหนังสือกับพ่อท่านสิงห์เป็นเวลาหนึ่งปี ก็สามารถเรียนรู้เข้าใจอ่านออกเขียนได้ แล้วโยมบิดาจึงมาขอลาหลวงปู่ทิมให้กลับมาช่วยทำงานที่บ้าน พออายุครบบวชหลวงปู่ทิมท่านจึงได้อุปสมบท ในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2449 ที่วัดระหารไร่ โดยมีพระครูขาว วัดทิมมา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สิงห์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์เกตุเป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อท่านบวชแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัด 1 พรรษา จึงได้ขออนุญาตพระอาจารย์ออกธุดงค์ไปหลายจังหวัดเป็นเวลา 3 ปี พอใกล้เข้าพรรษาท่านก็ได้กลับมาที่วัด ตลอดเวลาที่หลวงปู่ทิมท่านธุดงค์ไปนั้น ท่านก็ได้ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ ทั้งกับพระภิกษุและกับฆราวาส อีกทั้งยังได้ศึกษาตำราของหลวงปู่เฒ่าสังข์ ซึ่งเป็นปู่แท้ ๆ ของท่าน ซึ่งเป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองเวทวิทยาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้นต่อมาเมื่อหลวงปู่ทิม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดระหารไร่ ท่านก็ได้ซ่อมแซมกุฏิและอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ด้วยความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อท่าน เมื่อท่านดำริว่าจะก่อสร้างพระอุโบสถก็สามารถสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อยในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเศษ ต่อมาท่านก็ได้ก่อสร้างโรงเรียนประชาบาล โดยมีทางอำเภอและจังหวัดมาช่วย ใช้เวลาเพียง 8 เดือนก็แล้วเสร็จ สามารถเปิดให้นักเรียนได้เข้าเรียนได้ และท่านก็ยังชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง งานทุกอย่างก็สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ เนื่องจากความเคารพเลื่อมใสของญาติโยมและชาวบ้านที่มีต่อหลวงปู่ทิม ประวัติพระกริ่งชินบัญชร หลวงปู่ทิมพิมพ์เศียรโต คาถาพระเครื่องหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ คาถาขุนแผนหลวงปู่ทิมหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ท่านเป็นพระสมภะ ไม่ยินดียินร้ายกับลาภยศสรรเสริญ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวนเมื่อปี พ.ศ. 2478 ท่านก็ไม่ได้บอกใครและไม่ได้ไปรับจนทางจังหวัดได้มอบตราตั้งให้ทางอำเภอนำมามอบให้ท่านที่วัด และเป็นพระครูทิม อิสริโก อยู่มาจนถึงปี พ.ศ. 2497 ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ท่านเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตร ท่านก็ไม่ยอมบอกใคร จนทางอำเภอได้ส่งหนังสือไปที่วัด ชาวบ้านจึงได้รู้กันและได้จัดขบวนแห่มารับท่านไปรับสัญญาบัตรพัดยศ ที่เจ้าคณะจังหวัด และได้เป็นพระครูภาวนาภิรัต เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2507 เมื่อหลวงปู่ทิม ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์ พระครูภาวนาภิรัต แล้วบรรดาศิษยานุศิษย์จึงได้ประชุมกัน ขออนุญาตหลวงปู่ทิม จัดงานฉลองสมณศักดิ์ให้กับท่าน เพื่อให้ญาติโยมได้มีโอกาสแสดงความยินดีและแสดงความกตัญญูกตเวทิตา ที่หลวงปู่ทิมท่านได้มีเมตตาต่อเหล่าลูกศิษย์ หลวงปู่ทิมจึงขัดไม่ได้ นายสาย แก้วสว่าง ในฐานะไวยาวัจกรและศิษย์ใกล้ชิดจึงได้นัดประชุมกรรมการและชาวบ้าน ปรึกษากันว่าจะจัดฉลองสมณศักดิ์และเพื่อหารายได้สบทบทุนในการก่อสร้างกุฏิ และบูรณะซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดในครั้งนี้ โดยจะขออนุญาต หลวงปู่ทิมเพื่อจัดทำเหรียญรูปเหมือนของท่าน เอาไว้แจกแก่พวกญาติโยมและศิษย์ทั้งหลาย เพื่อเป็นที่ระลึกในการร่วมกันทำบุญในงานวันฉลองสมณศักดิ์ของท่าน เพราะใคร ๆ ก็ย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมพระวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระมักน้อยสมถะ ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ท่านฉันอาหารเพียงมื้อเดียวเท่านั้น และเป็นอาหารมังสวิรัติ หลวงปู่ทิม ท่านไม่ฉันพวกเนื้อสัตว์ แม้ในยามปัจฉิมวัยที่ท่านอาพาธท่านก็ยังปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย เคร่งครัดรักษาศีล ยึดมั่นพระธรรมวินัย เท่าที่สังเกตดูปรากฎว่า ท่านจะฉันเช้าประมาณ 7 โมงเช้า และฉันน้ำชาเวลา 4 โมงเย็น ถ้าเลยเวลาแล้วหลวงปู่จะไม่ยอมฉันเป็นเด็ดขาด แม้แต่น้ำชา ท่านฉันมื้อเดียวมาตลอด 50 ปีแล้ว โดยที่ไม่มีอาหารพวกเนื้อหมู เป็ด ไก่ หรืออาหารคาวทุกชนิดเลย แม้แต่น้ำปลาก็ไม่เคยฉัน อาหารที่หลวงปู่ทิม ท่านฉันก็เป็นพวกผัก ถั่ว หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่น เป็นประจำอยู่เป็นนิจตลอดมา เนื้อหนังมังสาและผิวพรรณของท่านก็คงเป็นปกติอยู่ตามเดิม พละกำลังของหลวงปู่ทิมท่านก็แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะอำนาจบารมีของท่านที่เคยได้สร้างสมมาในชาติปางก่อน จึงทำให้ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดและบริสุทธิ์ในธรรมวินัย ดำรงชีวิตมาได้อย่างแข็งแรงและสมบูรณ์ หลวงปู่ทิม ท่านยังแข็งแรงสมบูรณ์ เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก ท่านสายตาดีมากยังมองอะไรได้ชัดเจนดี ฟันก็ไม่เคยหักแม้แต่ซี่เดียว ถึงแม้ว่าอายุของท่านเกือบจะ 100 ปีแล้วก็ตาม จนท่านมรณภาพลงด้วยอาการสงบ ในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2518 หน้าหอสวดมนต์ วัดระหารไร่ สิริอายุได้ 96 ปี พรรษาที่ 69

วัดคีรีวิหาร

 วัดคีรีวิหาร


“วัดคีรีวิหาร" คืออีกวัดหนึ่งทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดตราด เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินสูง เป็นวัดเก่าแก่สำคัญของจังหวัดตราด สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 เดิมชื่อ “วัดท่าเลื่อน” เป็นวัดที่เจ้าอธิการอยู่เจ้าอาวาส ได้ใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 27 ปี ต่อมาเมื่อสมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเมืองตราด ได้แต่งตั้งเจ้าอาวาสเป็นพระครูรัฐาภิมุกข์และเรียกชื่อวัดนี้ว่า “วัดภูเขายวน” เมื่อไทยได้เมืองตราดคืนจากฝรั่งเศส จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดแห่งนี้ใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราชกรมหลวง วชิรญาณวงศ์ ทรงพระทานชื่อให้วัดใหม่เป็น คีรีวิหาร จนถึงปัจจุบัน จากด้านสถาปัตยกรรมที่มีความงดงาม แสดงให้เห็นว่าวัดแห่งนี้อาจได้รับการอุปถัมภ์จากชาวจีนที่มาค้าขายแถบชายฝั่งทะเลตะวันออก (พ่อค้าชาวจีนอพยพทางเรือมาที่เมืองตราดตั้งแต่สมัยอยุธยา บ้างอพยพจากอยุธยา กรุงเทพฯ เวียดนาม บ้างก็มาจากมาเลเซีย สิงคโปร์) ด้วยที่ตั้งของวัดอยู่บนภูเขาทำให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่างที่เป็นป่าเขาและทะเล มีบรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบ เป็นสวนป่าขนาดย่อม ๆ มีต้นสักปลูกอย่างเป็นระเบียบ ลักษณะเด่นของวัด คือ การก่อสร้างด้านสถาปัตยกรรมที่มีความงดงาม และมีการผสมผสานศิลปกรรมสมัยใหม่เข้าไว้ด้วย ลักษณะเด่นของวัด คือ การก่อสร้างด้านสถาปัตยกรรมที่มีความงดงาม และมีการผสมผสานศิลปกรรมสมัยใหม่เข้าไว้ด้วย ศาสนสถานที่สำคัญภายในบริเวณวัด ประกอบด้วย อุโบสถหลังใหญ่ ภายในอุโบสถ ผนังเรียบทาสีนวล ๆ พระประธานหันพระพักตรไปทางทิศเหนือ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก ยอดฉัตรงดงาม และมองดูสะอาดตา งามสง่าไม่รกเรื้อจนเฝือ เบื้องหน้าปูพรมแดงผืนกำลังดี พุทธศาสนิกชนเข้ามากราบไหว้ได้ทุกวัน ข้าง ๆ อุโบสถ เป็นหอระฆังรูปแปลกตา ความสูงของหอระฆัง 3 ชั้น พระเจดีย์ที่งดงามด้วยศิลปะที่หาดูได้ยากยิ่ง ฐานชั้นหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ฐานเจดีย์เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสเช่นกัน แต่ชั้นต่าง ๆ ขององค์พระเจดีย์นั้นมีจตุรมุขสี่ทิศ หน้าบันเป็นลายดอกโบตั๋น งดงามแบบเรียบ ๆ ใช้สีภายนอกเรียบด้วยสีโทนน้ำตาลและเหลืองแกมน้ำตาล เรือนรับรอง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเป็นสถานปฏิบัติธรรมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีของ และเหล่าข้าราชบริพาร กุฏิธรรมสารอุทิศ และกุฏินิรมิตสามัคคี ศาลาการเปรียญ เป็นศาลาการเปรียญที่ญาติโยมไว้ประกอบพิธีทางศาสนาต่าง ๆ เช่น งานบุญวันสำคัญทางศาสนา งานศพ หรือ งานประชุมของหน่วยงานภาครัฐที่มาดำเนินงานร่วมกับประชาชนในหมู่บ้าน วิหารจีนที่ประดิษฐานพระพุทธอุดมสมบูรณ์ พระอวโลกิเตศวร และพระสังกัจจายน์และกวนอิมด้านหน้าทางเข้า มีกระถางทองแดงปักธูปเทียนบูชา ตั้งอยู่ตรงกลาง ซ้ายขวาเป็นสิงโตหินแกะสลักงดงาม ขึ้นบันได้ไปกราบไหว้พระพุทธเจ้า 3 พระองค์ ประกอบด้วย องค์กลางประดิษฐานอยู่ในบัลลังก์ที่เขียนด้วยศิลปะจีน ทาด้วยสีมงคลสีแดง สีเหลือง และสีเขียวเข้ม เหนือศาลาประดิษฐานองค์พระเป็นลายวาดตามแบบอย่างศิลปะจีนแท้ ส่วนด้านซ้ายมือเป็นพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง มุ่นพระเกศาขึ้นไว้บนกระหม่อม พระพักตรงดงาม ดูมีเมตตายิ่งนัก ส่วนพระกรซ้ายรองลูกแก้วสมาธิ พระกรขวาวางแทบเข่า ดูสุขุมคัมภีรภาพ เสมอด้วยบุญญาธิการ ด้านขวาเป็นศาลาประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมปางนั่งสมาธิ พระพทุธเจ้าทั้งสามองค์นี้เป็นที่เคารพกราบไหว้ของศรัทธา ในวัดคีรีวิหาร เจ้าอาวาสวัดคิรีวิหารปัจจุบัน พระโสภณธรรมธาดา (หัน คุณวนฺโต) คีรีวิหาร ตั้งอยู่ที่บ้านท่าเลื่อน หมู่ที่ 5 ตำบลชำราก อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ห่างจากตัวเมืองไปตามทางหลวง 318 สายตราด-คลองใหญ่-บ้านหาดเล็ก ไปประมาณ 20 กิโลเมตร




ผู้ให้ข้อมูล      นายบันเทิง  มุสิกรัตน์
ผู้เรียบเรียง     นางสาวณัฐภัสสร  สินทราวิวัฒน์
ภาพประกอบ/ภาพถ่าย  เทศบาลตำบลชำราก

พระพุทธรูปเขาเขาชีจรรย์

พระพุทธรูปเขาเขาชีจรรย์



พระพุทธรูปเขาเขาชีจรรย์
พระพุธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์พระใหญ่ ชุมชน ตำบลนาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

เขาชีจรรย์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดชลบุรีมายาวนานมากกว่า 20 ปี โดยตั้งอยู่ที่ตำบล นาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ติดกับทางหลวงชนบท ชบ. 1003 ใกล้กับไร่องุ่นซิลเวอร์เลค พัทยา สวนน้ำรามายณะ พัทยา บ้านกลับหัว พัทยา และวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร บริเวณด้านข้างเขาชีจรรย์ได้ปรับปรุงพื้นที่ให้กลายเป็นทุ่งดอกทานตะวันไว้ให้ไปถ่ายรูปอีกด้วย คนสัตหีบจึงไม่จำเป็นจะต้องไปไกลถึงลพบุรีแล้ว เมื่อมาเที่ยวแล้วก็สามารถเที่ยวได้อีกหลายที่เพราะเป็นบริเวณที่ใกล้ ๆ กันใช้เวลาเที่ยว 1 วันก็เที่ยวได้ครบทุกที่ เขาชีจรรย์เป็นภูเขาหินปูนรูปทรงสวยแปลกตา ถ้ามองจากระยะไกลจะเห็นว่าเขาชีจรรย์มีลักษณะเป็นภูเขาสูงโดดเด่น รูปร่างสวยแปลกตา คล้ายกรวย คว่ำทรงยอดแหลม ด้านหนึ่งจะเป็นหน้าผาตัดสูงชัน เนื่องจากเคยมีการระเบิดหินเพื่อใช้เป็นวัสดุก่อสร้างมาก่อน จึงเปิดให้เห็นเนื้อหิน เป็นหน้าผาค่อนข้างเรียบจนถึงยอดเขา จากฐานจนถึงยอดเขาสูงประมาณ 180 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเลราว ๆ 248 เมตร สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในหลวง ร.9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ซึ่งพระพุทธรูปจะแกะสลักด้วยแสงเลเซอร์ใหญ่สุดในโลก ความโดดเด่นและเอกลักษณ์ของเขาชีจรรย์อยู่ตรงที่พระพุทธรูปแกะสลักแบบลายเส้น รูปประทับนั่ง ปางมารวิชัย ซึ่งได้แรงบัลดาลใจมาจาก "พระพุทธนวราชบพิตร" ศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา พระพุทธรูปแกะสลักแบบลายเส้นนี้ ก่อนการดำเนินการก่อสร้างนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวินิฉัยฯ สรุปไว้ว่าควรจัดสร้างเป็นแบบลายเส้น แต่ให้ลึกและชัดขึ้นเห็นเป็นรูปพระพุทธรูปในระยะไกล และด้วยเขาชีจรรย์เป็นเขาหินปูน จึงต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัย โดยกันพื้นที่ด้านหน้าใกล้องค์พระเป็นเขตห้ามเข้าเด็ดขาด เมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏว่าพระพระพุทธรูปแกะสลักลายเส้นมีความสูงมากถึง 109 เมตร หน้าตักกว้าง 70 เมตร มีฐานบัวสูง 21 เมตร รวมความสูงจากฐานของพระพระพุทธรูปแกะสลักลายเส้นแล้วก็มีความสูงทั้งหมด 130 เมตร ลักษณะของลายเส้นที่แกะสลักหินนั้น จะเป็นการแกะสลักลงในเนื้อหินให้เป็นร่อง ลึกกว้างประมาณ 30-40 เซนติเมตร ลึก 10 เซนติเมตร ฝังด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองเต็มร่อง มีชื่อพระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา แปลว่า พระพุทธเจ้า ทรงเป็นศาสดาที่รุ่งเรือง สว่าง ประเสริฐดุจดังมหาวชิระ ซึ่ง เป็นชื่อพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยปีที่ทำการสร้าง คือ พ.ศ. 2539 ปรากฏอยู่ด้านล่างของพระพระพุทธรูป นับว่าเป็นพระพุทธรูปแกะสลักในลักษณะพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมีลักษณะการก่อสร้างที่แปลกใหม่ และยังงดงามทรงคุณค่า น่าศรัทธา พุทธศาสนิกชนก็สามารถมาไหว้ขอพร ทำกิจกรรมทางพระพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมได้ สามารถเดินเที่ยวชม ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย นอกจากพระพุทธรูปแกะสลักลายเส้นแล้ว บริเวณโดยรอบของเขาชีจรรย์ยังสวยงามน่าเที่ยวชม มีต้นไม้ น้อยใหญ่มากมาย พร้อมด้วยสวนสวย ตกแต่งไปด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันตามฤดูกาล มีการนำไม้ประดับจากต่างถิ่นเข้ามาใช้ประดับตกแต่งภูมิทัศน์ มีสนามหญ้าเปิดโล่ง แบ่งพื้นที่ตามกิจกรรมการใช้งานอย่างชัดเจน เช่น ลานสำหรับชมพระพุทธรูปแกะสลัก จุดถ่ายรูปที่สามารถมองเห็นพระพุทธรูปได้อย่างชัดเจน อาคาร อเนกประสงค์ พื้นที่พักผ่อน และพื้นที่จอดรถ ซึ่งเหมาะสำหรับการมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ถ้ามาช่วงเย็น ๆ จะสามารถเดินเที่ยวได้อย่างสบายใจ ลมเย็น ๆ แถมได้ถ่ายรูปแสงพระอาทิตย์กำลังตกยิ่งสวยงาม จนกลายเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญอีกที่นึงในตำบลนาจอมเทียน

ผู้ให้ข้อมูล : นายวีรากร มณ์ทรัพย์สุคนธ์/นางสาวสุรภา เชาวันดี
ผู้เรียบเรียง : นายทัพพเทพ อรเนตร

วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ


วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ตั้งอยู่ที่ ตำบลโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี ภายในวัดต้นศรีมหาโพธิ์ มีต้นโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่เชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่เป็นหน่อจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้จากพุทธคยา ประเทศอินเดีย มีอายุกว่า 2,000 ปี ซึ่งนำเข้ามาปลูกเป็นต้นแรก ต้นโพธิ์ต้นนี้มีขนาดเส้นรอบวงของลำต้น 20 เมตร สูง 30 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เมตร นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์ประธานของวัดที่จำลองแบบจากเจดีย์พทธคยา มีลายปูนปั้นรูปเทวดาซึ่งงดงามมากที่ผนังด้านนอกของห้องคูหาส่วนฐานพระเจดีย์ด้วย

กล่าวว่า พระเจ้าทวานัมปะยะดิษฐ์ เจ้าครองเมืองศรีมโหสถในสมัยขอมเรืองอำนาจทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงได้ส่งคณะทูตเดินทางไปขอกิ่งต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับเมื่อคราวตรัสรู้ จากเจ้าผู้ครองนครปาตุลีบุตร ประเทศอินเดีย แล้วนำกิ่งโพธิ์นั้นมาปลูกที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดปราจีนบุรี ในวันวิสาขบูชาจะมีงานนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์

วัดโสธรวรารามวรวิหาร

วัดโสธรวรารามวรวิหาร

แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ฉะเชิงเทรา


วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมชื่อว่า “วัดหงษ์” สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของฉะเชิงเทรา ตามตำนานเล่าว่า หลวงพ่อพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิหน้าตักกว้างศอกเศษ มีรูปทรงสวยงามมาก ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แต่พระสงฆ์ในวัดเกรงจะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกเสริมหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบันแต่เดิม หลวงพ่อพุทธโสธรประทับอยู่ในโบสถ์หลังเก่าที่มีขนาดเล็ก รวมกับพระพุทธรูปอื่น 18 องค์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2509 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้และมีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิม จึงทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานการสร้าง และทรงเป็นผู้กำกับดูแลงานสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อ พ.ศ. 2531 และทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ หนัก 77 กิโลกรัม ประดิษฐานเหนือยอดมณฑป เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 ศิลปะภายในพระอุโบสถหลวงพ่อพุทธโสธร ประกอบด้วย ภาพจิตรกรรมฝาผนัง โดยรอบนับตั้งแต่พื้นพระอุโบสถ เสา ผนัง และเพดาน จะบรรจุเรื่องราวให้เป็นแดนแห่งทิพย์ เป็นเรื่องราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก ดวงดาว  และจักรวาล รอบนอกภายในกำแพงประดิษฐานด้วยพระพุทธรูปปางสมาธิไว้ให้ประชาชนได้กราบไหว้ทำบุญตามวันเกิด รวมถึงมีสถานที่ไว้ให้ประชาชนได้ทำการสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เติมน้ำมันตะเกียง ถวายสังฆทานวัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นวัดที่มีผู้คนมาขอพรกันเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะมีผู้คนแวะเวียนกันมาขอพรหนาแน่นตลอดทั้งวัน หากใครประสบผลสำเร็จในคำขอพร คำบนบาน ก็มักจะมาแก้บนกันด้วยไข่ต้มหรือละครรำ แต่ไข่ต้มนั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก บริเวณรอบพระอุโบสถ เต็มไปด้วยที่พักผ่อน มีท่าน้ำและศาลาริมน้ำไว้ให้ประชาชนที่มาไหว้สักการะหลวงพ่อพุทธโสธรได้พักผ่อนหย่อนใจ มีที่จอดรถบริเวณด้านหลังวัด โดยมีพื้นที่จอดกว้างขวาง สามารถรองรับผู้คนได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้มีการจัดบริเวณให้ชุมชนได้มาค้าขายสินค้าของชุมชนอย่างหลากหลาย ก่อให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในชุมชน อีกด้วย





เวลาเปิด – ปิด : วัดโสธรวรารามวรวิหาร เปิดให้เข้าสักการะ วันปกติ เวลา 07.00-16.30 น.
และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เวลา 07.00 - 17.00 น.
ตำแหน่งที่ตั้ง : อยู่ในเขตเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 24000 พิกัด 13.67386, 101.06701
การเดินทาง : ใช้เส้นทางได้หลายเส้นทาง - ใช้ถนนหมายเลข 304 มีนบุรี – ฉะเชิงเทรา เข้าเมืองฉะเชิงเทรา วิ่งตรงไป จะมีป้ายบอกตลอดทาง - ใช้ถนนหมายเลข 34 บางนา – ตราด เลี้ยวเข้าถนน หมายเลข 314 บางปะกง - ฉะเชิงเทรา - ใช้ถนนหมายเลข 3 สมุทรปราการ – บางปะกง แล้วต่อด้วยถนนหมายเลข 314 บางปะกง – ฉะเชิงเทรา


วัดเขาแก้ว (ถ้ำแก้วสวรรค์)

 


วัดเขาแก้ว (ถ้ำแก้วสวรรค์) แหล่งโบราณคดี 2 แผ่นดิน
วัดเขาแก้ว หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ถ้ำแก้วสวรรค์ ตั้งอยู่ที่ ตำบลหนองตาคง อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เป็นพื้นที่รอยต่อของบ้านคลองบอนและบ้านแหลมใหม่ ตำบลเทพนิมิต จะมีทางขึ้นไปสู่ยอดเขา 2 ทาง บริเวณที่เป็นพื้นที่ของวัดที่มีพระจำวัดอยู่นั้นจะใช้ทางฝั่งบ้านแหลมใหม่ ส่วนทางขึ้นเขานั้นจะใช้ทางฝั่งบ้านคลองบอน เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนสุดจะมีศาลาและพระพุทธรูปให้สักการะ และมีลักษณะเป็นจุดชมวิวสองแผ่นดิน คือ ไทย-กัมพูชา ที่สามารถมองจากด้านบนจะเห็นวิวของประเทศกัมพูชา และพื้นที่ของตำบลเทพนิมิต และตำบลหนองตาคงในบางส่วนได้ ลักษณะของเขานั้นเป็นภูเขาหินปูน วัดเขาแก้ว (ถ้ำแก้วสวรรค์) จะมีอยู่หลายถ้ำแต่ละถ้ำจะมีความสวยงามแตกต่างกันไป สันนิษฐานโดยกรมศิลปากร น่าจะมีอายุประมาณ 4,000 -10,000 ปี เป็นที่อยู่อาศัยหรือประกอบกิจกรรมของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีลักษณะเป็นถ้ำหินปูนและเป็นถ้ำที่ค้นพบสมัยโบราณ และอาจจะมีพัฒนาการต่อเนื่อง หรือทิ้งร้างไปแล้วกลับมาใช้ใหม่อีกในช่วงเวลาที่ทำเครื่องมือหินขัดขึ้นใช้






ในปัจจุบัน วัดเขาแก้ว (ถ้ำแก้วสวรรค์) ได้ย้ายวัดจากด้านบนมาอยู่ด้านล่าง ซึ่งตั้งอยู่ที่ 8 บ้านแหลมใหม่ ตำบลเทพนิมิต และเพื่อความสะดวกให้กับญาติโยม ในการปฏิบัติกิจต่าง ๆ ส่วนด้านบนเขา ทางขึ้นจะตั้งอยู่ทางบ้านคลองบอน ตำบลหนองตาคง จะไม่มีพระจำพรรษาอยู่บนเขา พระได้ย้ายไปจำพรรษาที่ด้านล่างแทน ทางเดินขึ้นเพื่อจะไปสักการะพระพุทธรูป จะต้องจอดรถไว้ข้างล่าง ต้องเดินบันไดขึ้นไป
หากที่ใครยังไม่เคยไปเที่ยวที่วัดเขาแก้วนั้น ต้องมีความอดทนและความตั้งใจเป็นอย่างมาก อาจจะต้องมีแรงบัลดาลใจที่จะขึ้นไปบนเขาให้สำเร็จ เพราะว่าตลอดเส้นทางการเดินนั้นค่อนข้างลำบาก ต้องใช้ความพยายามมาก และเชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่คนนอกพื้นที่อำเภอโป่งน้ำร้อนยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก และหากมีโอกาสได้ขึ้นไปถึงด้านบนแล้วนั้น รับรองได้ว่าจะคุ้มค่ากับการรอคอยที่สุด เส้นทางเริ่มต้นจากการเดินเท้าด้วยบันไดทางขึ้นฝั่งบ้านคลองบอนจะพบว่า ในจุดแรกจะมีพื้นที่สร้างอาคารและพระพุทธรูปไว้สำหรับการปฏิบัติธรรม แต่มีสภาพที่ไม่ได้รับการใช้งานมาเป็นเวลานาน เมื่อเดินเท้าขึ้นบันไดต่อไปยังชั้นบน จะพบทางเข้าถ้ำที่มีร่องรอยการปฏิบัติธรรมภายในนั้น แต่จะมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทางขึ้นในช่วงแรกซ้ายมือจะมีพระพุทธรูปประจำวันเกิดทั้ง 7 วัน ประดิษฐานไว้ และด้านขาวมือจะเป็นกุฏิสำหรับพระสงฆ์ที่เคยมาจำวัดอยู่มีสภาพผุพังไปตามกาลเวลา บรรยากาศระหว่างข้างทางในการเดินทาง คือ ธรรมชาติที่สวยงามจริง ๆ ในช่วงที่ผ่านจุดต่าง ๆ มา บันไดเริ่มมีความชันมากยิ่งขึ้นและมีขนาดแคบ จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก แนะนำไม่ให้มองหันหลังกลับลงมาข้างล่าง เมื่อเดินทางไปต่อจะถึงทางเดินขึ้นไปยอดเขาจะมีศาลาและพระพุทธรูปที่มีความงดงามจากงานฝีมือและวิวทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงาม ลมเย็น อากาศสดชื่น สามารถมองเห็นทั้ง 2 แผ่นดิน เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาจะมี “พระหยกขาว” ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านเคารพนับถือกันมาก วิวจากบนยอดเขาจะมองเห็นว่า เป็นวิวที่สวยงามและคุ้มค่าต่อการเดินทางเพื่อที่จะไปไหว้สักการะพระหยกขาว รับรองว่าถ้าใครที่ไปแล้วเดินขึ้นไปถึงด้านบนจะไม่ผิดหวังกับสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน 

ตำแหน่งที่ตั้ง : บ้านคลองบอน หมู่ที่ 4 ตำบลหนองตาคง อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
การเดินทาง :  ใช้ถนนจันทบุรี - สระแก้ว มุ่งหน้าสู่อำเภอสอยดาว แยกไฟแดงบ้านดงจิก-บ้านแหลม ให้เลี้ยวขวามุ่งหน้าไปตลาดบ้านแหลม ประมาณ 27 กิโลเมตร ผ่าน สภ.บ้านแปลง ให้เลี้ยวซ้ายแยกบ้านแหลมใหม่-สวนส้ม ขับต่อไปประมาณ 8 กิโลเมตร จะพบทางเข้าวัดถ้ำเขาแก้วตั้งอยู่ด้านซ้ายมือ

ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย TKP

 
Copyright © 2018 Thailand Knowledge Portal. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand