อาชีพท้องถิ่น
ข้าวหลามยายนิยม
“ยายเต็ม” ร้านอาหารเวียดนามเจ้าเด็ดในสระแก้ว บรรยากาศสไตล์ฟิวชั่นแบบย้อนยุค
ร้าน “ยายเต็ม” เป็นร้านอาหารเวียดนามเจ้าเด็ดแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ใกล้กับโรงพยาบาลสระแก้ว ซึ่งร้านอาหารแห่งนี้บอกได้เลยว่านอกจากจะขายอาหารเวียดนามเป็นหลักแล้ว ยังขายบรรยากาศภายในร้านที่สร้างเหมือนบ้านไม้ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ และตกแต่งด้วยสไตล์ฟิวชั่นแบบวันวานย้อนยุคอีกด้วย เนื่องจากบรรยากาศภายในร้านเหมือนกับสวนสนุกเล็ก ๆ สำหรับเด็ก ๆ มีการตกแต่งด้วยข้าวของโบราณต่าง ๆ แบบจัดหนัก จัดเต็มในทุกมุม ทุกพื้นที่ตามความชื่นชอบของเจ้าของร้านที่ชวนให้นึกถึงวันเก่า ๆ ยุคเก่า ๆ ในช่วงประมาณยุค 80 หรือยุค 90 ยังไงยังงั้นเลย ข้าวของโบราณต่าง ๆ ที่นำมาจัดในร้าน “ยายเต็ม” นั้นเป็นพวกเฟอร์นิเจอร์โบราณ ตู้โชว์สินค้าและสินค้าแบบร้านขายของชำ (ร้านโชห่วย) สมัยก่อน รวมไปถึงรถมอเตอร์ไซค์และรถคลาสสิกรุ่นเก่า ๆ เรียกได้ว่ามีมุมให้ถ่ายรูปสวย ๆ เพียบ ทำให้รู้สึกว่ามาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม ๆ
สำหรับเมนูอาหารร้านยายเต็มก็จะเน้นอาหารเวียดนามเป็นหลัก ซึ่งอาหารเวียดนามนั้นก็จะมีแบบสั่งเป็นจาน ๆ กับแบบชุดรวมที่มีทั้งชุดรวมเล็ก ชุดรวมกลาง และชุดรวมใหญ่ โดยชุดรวมแต่ละชุดก็จะมีราคาแตกต่างกันตามเมนูอาหาร คือ ชุดรวมเล็ก มีทั้งบั้นหอย (เส้นหมี่หน้าหมู) แหนมเนือง (หมูย่าง) หยอยก๊วง (เปาะเปี๊ยะสด) และจ๋าหย่อ (เปาะเปี๊ยะทอด) ส่วนชุดรวมกลาง ก็จะเป็นเมนูเดียวกับชุดรวมเล็ก 4 เมนู และเพิ่มเมนูบั้นแส่ว (ขนมเบื้องญวน) อีกหนึ่งเมนู และ ชุดรวมใหญ่ ก็จะเป็นเมนูเดียวกับชุดรวมกลาง เพียงแต่เพิ่มก๊าจ๋า (ทอดมันญวน) อีกหนึ่งเมนู ในราคา 480 บาท ไม่ทราบว่าราคาของชุดรวมเล็กกับชุดรวมกลางนั้นราคาเท่าไหร่ เพราะในเมนูของร้านไม่ได้บอกราคาไว้ บอกแค่ราคาชุดรวมใหญ่เท่านั้น แต่แนะนำว่าหากมากันเป็นกลุ่มหรือต้องการกินอาหารหลายอย่าง ให้สั่งชุดรวมใหญ่จะคุ้มกว่า ไม่ต้องคิดเมนูให้เหนื่อยว่าจะกินเมนูไหนดี แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือผักสดที่จัดใส่ในตะกร้าจานใหญ่ น่ากินมาก ๆ หากไม่พอกินก็สามารถขอเพิ่มได้
ตลาดร้อยเสา หรือ ตลาด 100 เสา
ประวัติความเป็นมา
“เตี๋ยวปิ่นโต@วัดบางแขยง”
เตี๋ยวปิ่นโต@วัดบางแขยง หรือวิสาหกิจชุมชนบ้านสมุนไพรและของดีบางแขยง ตั้งอยู่ที่บ้านดอนใหญ่ หมู่ที่ 11 ต.โนนห้อม อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี ที่นี่เป็นร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยวที่มีบรรยากาศสุดชิล เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ภายในวัดบางแขยงท่ามกลางดงต้นไผ่ตง ดั่งคำขวัญของจังหวัดปราจีนบุรีที่ว่า “ศรีมหาโพธิ์คู่บ้าน ไผ่ตงหวานคู่เมือง ผลไม้ลือเลื่อง เขตเมืองทวารวดี” ซึ่งนับเป็นพืชที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปราจีนบุรีและเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่มาอย่างยาวนาน ให้บรรยากาศร่มรื่น หรือใครชอบบรรยากาศริมน้ำก็มีโซนแพ ก็จะได้อีกบรรยากาศในการนั่งห้อยขาเอาเท้าจุ่มน้ำนั่งทานกันไป คุยไป อิ่มก็เอนกายพักท้อง ลมพัดเย็น ๆ มันฟินมาก ได้ฟิลบ้านริมคลองแบบต่างจังหวัด บรรยากาศลมพัดเย็น ๆ ทานอาหารเพลิน ๆ พร้อมกับฝูงปลาและฝูงเป็ดที่จะคอยต้อนรับลูกค้าอยู่ด้านล่างส่วน คนที่นั่งรับลมในสวนไผ่ก็จะได้ฝังเสียงธรรมชาติร้องเพลงให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินกัน
เมนูที่นี่ มีหลากหลายมาก ทั้งอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเสิร์ฟมาในปิ่นโตแบบโบราณให้กลิ่นอายบรรยากาศของชายทุ่งริมคลองในสมัยก่อน นอกจากนั้นยังมีเมนูอาหารอื่นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวกะเพราถาดที่เสิร์ฟในถาดขนาดใหญ่มีใบตองสีเขียวสดรองบนภาชนะ ผัดไทยกุ้งสดที่เป็นเมนูพิเศษ คือ ใช้กุ้งตัวใหญ่สุดคุ้ม และเมนูอาหารอีสาน ส้มตำถาด บอกเลยเรื่องรสชาติ ที่นี่เด็ดไม่ผิดหวังแน่นอน
ข้อมูลเนื้อหาโดย นางสาวสุชานันท์ รุ่งเรือง
เรียบเรียง โดย นางสาวสุวรรณา แย้มดี
ภาพประกอบโดย https://www.facebook.com/teowpinto
Classic Café Halal Food นครนายก
น้ำพริกปลากุเลา
น้ำพริกปลากุเลา
Facebook: ปลากุเ ลาเค็ม แม่หนู บางปะกง @pakuraokem.maenu.bangpakong
ช่องทางการสั่งซื้อ: OTOP Today Padrew https://web.facebook.com/otoptodaypadrew
ชื่อผู้ติดต่อ : กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่หนู / คุณสุวรรณา สรรธนสมบัติ
เบอร์โทร/ LINE: 08 9938 7523
ที่อยู่ : เลขที่ 174/29 หมู่ที่ 2 ตำบลบางสมัคร อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
พิกัด: ถนนบางนา-ตราด กม.43 เข้าหมู่บ้านศรีเทพไทย ซอย 40 บ้านเลขที่ 174/29 หมู่ที่ 2 ตำบลบางสมัคร อำเภอบางปะกง ฉะเชิงเทรา (1.1 กม.)
ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นางสาวปทิตตา ตันวิมลกุล
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางสาวปทิตตา ตันวิมลกุล
ข้อมูล TKP อ้างอิง https://shorturl.asia/GPFis
ขนมบันดุ๊ก
ขนมบันดุ๊ก
ปิ้งงบ
ปิ้งงบ
สวนละไม
ด้วยพื้นที่สวนผลไม้กว่า 500 ไร่ โอบล้อมด้วยภูเขาและป่าไม้ธรรมชาติอากาศเย็นสบายด้วยพรรณไม้นานาชนิด วางแผนการปลูกผลไม้เชิงท่องเที่ยวมามากกว่า 10 ปี โดยจัดวางผังปลูกผลไม้แต่ละชนิดอย่างเป็นระบบ มีผลไม้ไว้คอยต้อนรับท่านหลากหลายชนิด อาทิ ทุเรียน เงาะ มังคุด ส้มโอ ชมพู่ ลำไย สละแก้วมังกร ลองกอง มะเฟือง มะยงชิด องุ่น ฯลฯ เป็นต้น สนุกกับบรรยากาศ และความสุขจากการเก็บผลไม้สด ๆ จากต้น สะดวกสบายด้วยรถบริการเข้าชมสวน สวนละไม เปิดบริการให้ลูกค้าและนักท่องเที่ยวทุกท่านเข้ามาสัมผัสบรรยากาศความสุข และสนุกสนาน และการทานผลไม้แบบบุฟเฟ่ต์ ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติของสวนผลไม้บนภูเขา ตั้งแต่เวลา 8:00-17.00 น.
โดยกิจกรรมที่สวนละไม จะแบ่งตามฤดูกาลต่าง ๆ ของผลไม้ดังนี้ เดือน เมษายน - กรกฎาคม ของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงฤดูร้อน หน้าผลไม้ เงาะ มังคุด ทุเรียน สละ ลองกอง ลำไย ฯลฯ สวนละไมจะมีกิจกรรม "เที่ยวชมสวน และทานบุฟเฟ่ต์ผลไม้" และช่วงปลายปี เดือน ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงฤดูฝนและหนาว สวนละไมจะมีเปิดกิจกรรมเที่ยวไร่สตอเบอร์รี่ ทุ่งดอกคอสมอส พร้อมด้วยสวนส้มเขียวหวาน สวนลำไย สวนดอกไม้
อย่างไรก็ตามกิจกรรมต่าง ๆ จะปรับเปลี่ยนตามฤดูกาล ทางสวนละไมขอความกรุณาลูกค้าติดต่อสอบถามรายละเอียดกิจกรรม และวันที่เปิดกิจกรรมอีกครั้งทางช่องทาง Call Center 09 8737 4983, 09 8737 4984, 09 8737 4985
SUAN LAMAI (Rayong) "Kingdom of Fruit on the Mountain"
With area of more than 500 Rais, the garden is surrounded by mountains, natural forest and varieties of plants as well as the experience of cool atmosphere throughout the year. It took more than 10 years for us to design and complete the making of the garden. Each plot of plant has been systematically and aesthetically planned and cultivated. Visitors would be welcomed with a variety of fruits, including durian, rambutan, mangosteen, pomelo, rose apple, longan, Zalacca, dragon fruit, langsat, starfruit, sweet yellow Marian plum and grapes etc. Enjoy yourself while picking up fresh fruits from our trees. We also provide visitors with vehicles to transport into the garden as well as stand-by staffs who will provide information to visitors throughout the trip. Our garden will open from 08.00 AM - 05.00 PM
วัดสมานรัตนาราม
วัดสมานรัตนาราม แหล่งรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแปดริ้ว
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระ 5 พี่น้อง
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระ 5 พี่น้อง มีความเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ในเรื่องโชคลาภ ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้สมัครเรียน สมัครงาน มักมาบนบานขอให้ได้ตามประสงค์ และบนบานให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย
หลวงพ่อโต
อิ่มอร่อย! อาหารชาวไทยเชื้อสายพวน พ้อกันมื้อแลงเด้อ! ณ บางกุ้งทุ่งข้าว
ริมถนนสายปราจีนบุรี-ศรีมหาโพธิ ที่หมู่บ้านบางกุ้ง หมู่ที่ 3 ต.บางกุ้ง อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี เลยจากตัวเมืองปราจีนบุรี ผ่านหมู่บ้านไทยพวน ทั้งบ้านดงกระทงยาม บ้านหาดยาง และบ้านบางกุ้ง ฝั่งขวามือ จะมีร้านอาหารตั้งใหม่จำหน่ายอาหารพื้นบ้านชาวไทยพวน ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยพวนชื่อ พ้อกันมื้อแลงเด้อ!...ณ บางกุ้งทุ่งข้าว ร้านปลูกแบบเรียบง่ายชั้นเดียว หลังคามุงตับจากร่มเย็น มีอาหารพื้นถิ่นให้เลือกชิมอร่อย ๆ หลากหลาย
“พ้อกันมื้อแลงเด้อ ณ บางกุ้งทุ่งข้าว”... นอกจากเป็นร้านอาหารชาวไทยพวนแล้ว ยังจะเป็นแหล่งเชื่อมสานความสัมพันธ์ ของชาว ต.บางกุ้ง,ตำบลหาดยาง และ ตำบลดงกระทงยาม อ.ศรีมหาโพธิ โดยที่ ต.บางกุ้ง มีทรัพยากรท้องถิ่นหรือวัตถุดิบที่ดีมาก เป็นที่ราบริมฝั่งแม่น้ำปราจีนบุรีทุกปีมีน้ำท่วม มีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะอาหารที่มาจากธรรมชาติ อาทิ ไหลบัว ที่อร่อย มีตลอดทั้งปี ที่จะนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย
ชื่อบางกุ้ง เล่าขานกันว่า เป็นถิ่นที่อาศัยของกุ้งแม่น้ำ-แม่น้ำปราจีนบุรี ที่ชาวบ้านยังคงตกกุ้งแม่น้ำ ทำมาหากินหลังจากงานประจำกันตลอดทั้งปี
ที่ผ่านมานั้น มีประสบการณ์ร้านอาหาร ได้ประกอบกิจการด้านร้านอาหารมามากกว่า 30 ปี ได้เปิดร้านหลายที่ อาทิ ริมบ้านชาญเมือง อ.ศรีมหาโพธิ ปาล์มสวีทโฮมย์ อ.กบินทร์บุรี ร้านระเบียงนา อ.เมืองปราจีนบุรี
ที่นี่ จะเป็นมากกว่าร้านอาหาร อาทิ เป็นที่แลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรอินทรี ของเกษตรกรปราจีนบุรี เป็นที่พบเจอกันของผู้บริโภค พบกับเครือข่ายเกษตรอินทรีย์จังหวัดปราจีนบุรี ในการจัดนัดพบตลาดสีเขียว เกษตรกรผู้ทำผักอินทรีย์ส่ง รพ. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เกษตรอินทรีย์กลุ่มเขาไม้แก้ว ร้านกาแฟ-เครื่องดื่ม ผักพื้นบ้าน,อาหารปลอดภัย เมล็ดพันธุ์ไม้กระถางงาม ๆ ให้ได้มาเดิน ชม ช๊อป ชิม ได้เวลา 16:00 น. เป็นต้นไป”
หากต้องการพักผ่อน ได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ ติดทุ่งนา และ ริมน้ำ พร้อมเพลิดเพลินกับอาหารหลากรสและเครื่องดื่มสุดพิเศษ ดูวิวทิวทัศน์ เพลินตา ราคาโดนใจ พาญาติมิตร คนรักมาที่นี่ ...พ้อกันมื้อแลงเด้อ!...ณ บางกุ้งทุ่งข้าว ร้านเปิด เวลา 15.00 น. - 21.00 น. ริมถนนสายปราจีนบุรี-ศรีมหาโพธิ ใกล้ปากทางเข้า บ้านดงกระทงยาม กิโลเมตรที่ 15-16 ศรีมหาโพธิ ปราจีนบุรี
หลวงพ่อขาววัดนครธรรม
วัดนครธรรม
วัดนี้เป็นวัดโบราณเก่าแก่วัดหนึ่ง ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ หลวงพ่อขาว หรือ หลวงพ่อปูน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณนั่งขัดสมาธิสร้างด้วยปูนขาวจากหนองดินจี่ที่มีอายุ เก่าแก่กว่า 100 ปี พระพุทธรูป หน้าตักกว้าง 130.9 เซนติเมตร และ สูง 199 เซนติเมตร หลวงพ่อขาวหรือหลวงพ่อปูน มีชื่อเสียงด้านอภินิหาร ความศักดิ์สิทธิ์โดยเมื่อครั้งที่ได้อัญเชิญหลวงพ่อขาวจากวัดร้างบ้านจิกในปี พ.ศ. 2468 ในขณะอัญเชิญ มีปรากฏการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้น พระภิกษุสงฆ์ได้เห็นน้ำพระเนตรของหลวงพ่อขาวไหลออกมาอย่างชัดเจน พร้อมกับมีฝนตกลงมาอย่างหนัก จึงเป็นเรื่องกล่าวขานถึงอภินิหารของหลวงพ่อขาวมาจนปัจจุบัน ทางวัดนครธรรม เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสักการะทุกวันไม่มีวันหยุดหลวงพ่อขาว พระพุทธรูปเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี เป็นพระพุทธรูปโบราณนั่งขัดสมาธิสร้างด้วยปูนขาว (ซึ่งเป็นดินขาวจากหนองดินจี่) พระพุทธรูป หน้าตักกว้าง 130.9 เซ็นติเมตร สูง 199 เซ็นติเมตร มีชื่อเสียงด้านความศักดิ์สิทธิ์ โดยได้อัญเชิญหลวงพ่อขาวจากวัดร้างบ้านจิก มาเมื่อ พ.ศ. 2468 ในขณะอัญเชิญมีปรากฏการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้น พระภิกษุสงฆ์ได้เห็นน้ำพระเนตรของหลวงพ่อขาวไหลออกมาอย่างชัดเจน พร้อมกับมีฝนตกลงมาอย่างหนักพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากวัดปมะดุลลาราชะมหาวิหาร เมืองรัตนปุระ ประเทศศรีลังกา รอยพระพุทธบาทจำลองและพระสยามเทวาธิราช พระบรมสารีริกธาตุ ในประเพณีแห่พระบรมสารีริกธาตุช่วงตรุษจีน จะมีการอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานบนบุษบกด้านหน้าหลวงพ่อขาว ภายในวิหาร ให้ประชาชนได้สักการะเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน พระบรมสารีริกธาตุองค์นี้ พระครูวัฒนานครกิจ อดีตเจ้าอาวาสได้อัญเชิญมาจาก วัดเปมะดุลลราชะมหาวิหาร เมืองรัตนปุระ ประเทศ ศรีลังกา เมื่อ พ.ศ. 2535
วัดละหารไร่
ประวัติ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ท่านเกิดวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2422 โยมบิดาชื่อ แจ้ โยมมารดาชื่อ อินทร์ พอหลวงปู่ทิมท่านอายุได้ 17 ปี โยมบิดาก็ได้นำตัวไปฝากกับท่านพ่อสิงห์ ที่วัดได้เล่าเรียนหนังสือกับพ่อท่านสิงห์เป็นเวลาหนึ่งปี ก็สามารถเรียนรู้เข้าใจอ่านออกเขียนได้ แล้วโยมบิดาจึงมาขอลาหลวงปู่ทิมให้กลับมาช่วยทำงานที่บ้าน พออายุครบบวชหลวงปู่ทิมท่านจึงได้อุปสมบท ในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2449 ที่วัดระหารไร่ โดยมีพระครูขาว วัดทิมมา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สิงห์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์เกตุเป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อท่านบวชแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัด 1 พรรษา จึงได้ขออนุญาตพระอาจารย์ออกธุดงค์ไปหลายจังหวัดเป็นเวลา 3 ปี พอใกล้เข้าพรรษาท่านก็ได้กลับมาที่วัด ตลอดเวลาที่หลวงปู่ทิมท่านธุดงค์ไปนั้น ท่านก็ได้ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ ทั้งกับพระภิกษุและกับฆราวาส อีกทั้งยังได้ศึกษาตำราของหลวงปู่เฒ่าสังข์ ซึ่งเป็นปู่แท้ ๆ ของท่าน ซึ่งเป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองเวทวิทยาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้นต่อมาเมื่อหลวงปู่ทิม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดระหารไร่ ท่านก็ได้ซ่อมแซมกุฏิและอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ด้วยความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อท่าน เมื่อท่านดำริว่าจะก่อสร้างพระอุโบสถก็สามารถสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อยในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเศษ ต่อมาท่านก็ได้ก่อสร้างโรงเรียนประชาบาล โดยมีทางอำเภอและจังหวัดมาช่วย ใช้เวลาเพียง 8 เดือนก็แล้วเสร็จ สามารถเปิดให้นักเรียนได้เข้าเรียนได้ และท่านก็ยังชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง งานทุกอย่างก็สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ เนื่องจากความเคารพเลื่อมใสของญาติโยมและชาวบ้านที่มีต่อหลวงปู่ทิม ประวัติพระกริ่งชินบัญชร หลวงปู่ทิมพิมพ์เศียรโต คาถาพระเครื่องหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ คาถาขุนแผนหลวงปู่ทิมหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ท่านเป็นพระสมภะ ไม่ยินดียินร้ายกับลาภยศสรรเสริญ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวนเมื่อปี พ.ศ. 2478 ท่านก็ไม่ได้บอกใครและไม่ได้ไปรับจนทางจังหวัดได้มอบตราตั้งให้ทางอำเภอนำมามอบให้ท่านที่วัด และเป็นพระครูทิม อิสริโก อยู่มาจนถึงปี พ.ศ. 2497 ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ท่านเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตร ท่านก็ไม่ยอมบอกใคร จนทางอำเภอได้ส่งหนังสือไปที่วัด ชาวบ้านจึงได้รู้กันและได้จัดขบวนแห่มารับท่านไปรับสัญญาบัตรพัดยศ ที่เจ้าคณะจังหวัด และได้เป็นพระครูภาวนาภิรัต เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2507 เมื่อหลวงปู่ทิม ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์ พระครูภาวนาภิรัต แล้วบรรดาศิษยานุศิษย์จึงได้ประชุมกัน ขออนุญาตหลวงปู่ทิม จัดงานฉลองสมณศักดิ์ให้กับท่าน เพื่อให้ญาติโยมได้มีโอกาสแสดงความยินดีและแสดงความกตัญญูกตเวทิตา ที่หลวงปู่ทิมท่านได้มีเมตตาต่อเหล่าลูกศิษย์ หลวงปู่ทิมจึงขัดไม่ได้ นายสาย แก้วสว่าง ในฐานะไวยาวัจกรและศิษย์ใกล้ชิดจึงได้นัดประชุมกรรมการและชาวบ้าน ปรึกษากันว่าจะจัดฉลองสมณศักดิ์และเพื่อหารายได้สบทบทุนในการก่อสร้างกุฏิ และบูรณะซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดในครั้งนี้ โดยจะขออนุญาต หลวงปู่ทิมเพื่อจัดทำเหรียญรูปเหมือนของท่าน เอาไว้แจกแก่พวกญาติโยมและศิษย์ทั้งหลาย เพื่อเป็นที่ระลึกในการร่วมกันทำบุญในงานวันฉลองสมณศักดิ์ของท่าน เพราะใคร ๆ ก็ย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมพระวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระมักน้อยสมถะ ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ท่านฉันอาหารเพียงมื้อเดียวเท่านั้น และเป็นอาหารมังสวิรัติ หลวงปู่ทิม ท่านไม่ฉันพวกเนื้อสัตว์ แม้ในยามปัจฉิมวัยที่ท่านอาพาธท่านก็ยังปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย เคร่งครัดรักษาศีล ยึดมั่นพระธรรมวินัย เท่าที่สังเกตดูปรากฎว่า ท่านจะฉันเช้าประมาณ 7 โมงเช้า และฉันน้ำชาเวลา 4 โมงเย็น ถ้าเลยเวลาแล้วหลวงปู่จะไม่ยอมฉันเป็นเด็ดขาด แม้แต่น้ำชา ท่านฉันมื้อเดียวมาตลอด 50 ปีแล้ว โดยที่ไม่มีอาหารพวกเนื้อหมู เป็ด ไก่ หรืออาหารคาวทุกชนิดเลย แม้แต่น้ำปลาก็ไม่เคยฉัน อาหารที่หลวงปู่ทิม ท่านฉันก็เป็นพวกผัก ถั่ว หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่น เป็นประจำอยู่เป็นนิจตลอดมา เนื้อหนังมังสาและผิวพรรณของท่านก็คงเป็นปกติอยู่ตามเดิม พละกำลังของหลวงปู่ทิมท่านก็แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะอำนาจบารมีของท่านที่เคยได้สร้างสมมาในชาติปางก่อน จึงทำให้ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดและบริสุทธิ์ในธรรมวินัย ดำรงชีวิตมาได้อย่างแข็งแรงและสมบูรณ์ หลวงปู่ทิม ท่านยังแข็งแรงสมบูรณ์ เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก ท่านสายตาดีมากยังมองอะไรได้ชัดเจนดี ฟันก็ไม่เคยหักแม้แต่ซี่เดียว ถึงแม้ว่าอายุของท่านเกือบจะ 100 ปีแล้วก็ตาม จนท่านมรณภาพลงด้วยอาการสงบ ในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2518 หน้าหอสวดมนต์ วัดระหารไร่ สิริอายุได้ 96 ปี พรรษาที่ 69
วัดคีรีวิหาร
วัดคีรีวิหาร
“วัดคีรีวิหาร" คืออีกวัดหนึ่งทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดตราด เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินสูง เป็นวัดเก่าแก่สำคัญของจังหวัดตราด สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 เดิมชื่อ “วัดท่าเลื่อน” เป็นวัดที่เจ้าอธิการอยู่เจ้าอาวาส ได้ใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 27 ปี ต่อมาเมื่อสมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเมืองตราด ได้แต่งตั้งเจ้าอาวาสเป็นพระครูรัฐาภิมุกข์และเรียกชื่อวัดนี้ว่า “วัดภูเขายวน” เมื่อไทยได้เมืองตราดคืนจากฝรั่งเศส จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดแห่งนี้ใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราชกรมหลวง วชิรญาณวงศ์ ทรงพระทานชื่อให้วัดใหม่เป็น คีรีวิหาร จนถึงปัจจุบัน จากด้านสถาปัตยกรรมที่มีความงดงาม แสดงให้เห็นว่าวัดแห่งนี้อาจได้รับการอุปถัมภ์จากชาวจีนที่มาค้าขายแถบชายฝั่งทะเลตะวันออก (พ่อค้าชาวจีนอพยพทางเรือมาที่เมืองตราดตั้งแต่สมัยอยุธยา บ้างอพยพจากอยุธยา กรุงเทพฯ เวียดนาม บ้างก็มาจากมาเลเซีย สิงคโปร์) ด้วยที่ตั้งของวัดอยู่บนภูเขาทำให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่างที่เป็นป่าเขาและทะเล มีบรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบ เป็นสวนป่าขนาดย่อม ๆ มีต้นสักปลูกอย่างเป็นระเบียบ ลักษณะเด่นของวัด คือ การก่อสร้างด้านสถาปัตยกรรมที่มีความงดงาม และมีการผสมผสานศิลปกรรมสมัยใหม่เข้าไว้ด้วย ลักษณะเด่นของวัด คือ การก่อสร้างด้านสถาปัตยกรรมที่มีความงดงาม และมีการผสมผสานศิลปกรรมสมัยใหม่เข้าไว้ด้วย ศาสนสถานที่สำคัญภายในบริเวณวัด ประกอบด้วย อุโบสถหลังใหญ่ ภายในอุโบสถ ผนังเรียบทาสีนวล ๆ พระประธานหันพระพักตรไปทางทิศเหนือ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก ยอดฉัตรงดงาม และมองดูสะอาดตา งามสง่าไม่รกเรื้อจนเฝือ เบื้องหน้าปูพรมแดงผืนกำลังดี พุทธศาสนิกชนเข้ามากราบไหว้ได้ทุกวัน ข้าง ๆ อุโบสถ เป็นหอระฆังรูปแปลกตา ความสูงของหอระฆัง 3 ชั้น พระเจดีย์ที่งดงามด้วยศิลปะที่หาดูได้ยากยิ่ง ฐานชั้นหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ฐานเจดีย์เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสเช่นกัน แต่ชั้นต่าง ๆ ขององค์พระเจดีย์นั้นมีจตุรมุขสี่ทิศ หน้าบันเป็นลายดอกโบตั๋น งดงามแบบเรียบ ๆ ใช้สีภายนอกเรียบด้วยสีโทนน้ำตาลและเหลืองแกมน้ำตาล เรือนรับรอง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเป็นสถานปฏิบัติธรรมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีของ และเหล่าข้าราชบริพาร กุฏิธรรมสารอุทิศ และกุฏินิรมิตสามัคคี ศาลาการเปรียญ เป็นศาลาการเปรียญที่ญาติโยมไว้ประกอบพิธีทางศาสนาต่าง ๆ เช่น งานบุญวันสำคัญทางศาสนา งานศพ หรือ งานประชุมของหน่วยงานภาครัฐที่มาดำเนินงานร่วมกับประชาชนในหมู่บ้าน วิหารจีนที่ประดิษฐานพระพุทธอุดมสมบูรณ์ พระอวโลกิเตศวร และพระสังกัจจายน์และกวนอิมด้านหน้าทางเข้า มีกระถางทองแดงปักธูปเทียนบูชา ตั้งอยู่ตรงกลาง ซ้ายขวาเป็นสิงโตหินแกะสลักงดงาม ขึ้นบันได้ไปกราบไหว้พระพุทธเจ้า 3 พระองค์ ประกอบด้วย องค์กลางประดิษฐานอยู่ในบัลลังก์ที่เขียนด้วยศิลปะจีน ทาด้วยสีมงคลสีแดง สีเหลือง และสีเขียวเข้ม เหนือศาลาประดิษฐานองค์พระเป็นลายวาดตามแบบอย่างศิลปะจีนแท้ ส่วนด้านซ้ายมือเป็นพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง มุ่นพระเกศาขึ้นไว้บนกระหม่อม พระพักตรงดงาม ดูมีเมตตายิ่งนัก ส่วนพระกรซ้ายรองลูกแก้วสมาธิ พระกรขวาวางแทบเข่า ดูสุขุมคัมภีรภาพ เสมอด้วยบุญญาธิการ ด้านขวาเป็นศาลาประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมปางนั่งสมาธิ พระพทุธเจ้าทั้งสามองค์นี้เป็นที่เคารพกราบไหว้ของศรัทธา ในวัดคีรีวิหาร เจ้าอาวาสวัดคิรีวิหารปัจจุบัน พระโสภณธรรมธาดา (หัน คุณวนฺโต) คีรีวิหาร ตั้งอยู่ที่บ้านท่าเลื่อน หมู่ที่ 5 ตำบลชำราก อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ห่างจากตัวเมืองไปตามทางหลวง 318 สายตราด-คลองใหญ่-บ้านหาดเล็ก ไปประมาณ 20 กิโลเมตร
พระพุทธรูปเขาเขาชีจรรย์
พระพุทธรูปเขาเขาชีจรรย์
พระพุทธรูปเขาเขาชีจรรย์พระพุธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์พระใหญ่ ชุมชน ตำบลนาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
เขาชีจรรย์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดชลบุรีมายาวนานมากกว่า 20 ปี โดยตั้งอยู่ที่ตำบล นาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ติดกับทางหลวงชนบท ชบ. 1003 ใกล้กับไร่องุ่นซิลเวอร์เลค พัทยา สวนน้ำรามายณะ พัทยา บ้านกลับหัว พัทยา และวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร บริเวณด้านข้างเขาชีจรรย์ได้ปรับปรุงพื้นที่ให้กลายเป็นทุ่งดอกทานตะวันไว้ให้ไปถ่ายรูปอีกด้วย คนสัตหีบจึงไม่จำเป็นจะต้องไปไกลถึงลพบุรีแล้ว เมื่อมาเที่ยวแล้วก็สามารถเที่ยวได้อีกหลายที่เพราะเป็นบริเวณที่ใกล้ ๆ กันใช้เวลาเที่ยว 1 วันก็เที่ยวได้ครบทุกที่ เขาชีจรรย์เป็นภูเขาหินปูนรูปทรงสวยแปลกตา ถ้ามองจากระยะไกลจะเห็นว่าเขาชีจรรย์มีลักษณะเป็นภูเขาสูงโดดเด่น รูปร่างสวยแปลกตา คล้ายกรวย คว่ำทรงยอดแหลม ด้านหนึ่งจะเป็นหน้าผาตัดสูงชัน เนื่องจากเคยมีการระเบิดหินเพื่อใช้เป็นวัสดุก่อสร้างมาก่อน จึงเปิดให้เห็นเนื้อหิน เป็นหน้าผาค่อนข้างเรียบจนถึงยอดเขา จากฐานจนถึงยอดเขาสูงประมาณ 180 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเลราว ๆ 248 เมตร สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในหลวง ร.9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ซึ่งพระพุทธรูปจะแกะสลักด้วยแสงเลเซอร์ใหญ่สุดในโลก ความโดดเด่นและเอกลักษณ์ของเขาชีจรรย์อยู่ตรงที่พระพุทธรูปแกะสลักแบบลายเส้น รูปประทับนั่ง ปางมารวิชัย ซึ่งได้แรงบัลดาลใจมาจาก "พระพุทธนวราชบพิตร" ศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา พระพุทธรูปแกะสลักแบบลายเส้นนี้ ก่อนการดำเนินการก่อสร้างนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวินิฉัยฯ สรุปไว้ว่าควรจัดสร้างเป็นแบบลายเส้น แต่ให้ลึกและชัดขึ้นเห็นเป็นรูปพระพุทธรูปในระยะไกล และด้วยเขาชีจรรย์เป็นเขาหินปูน จึงต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัย โดยกันพื้นที่ด้านหน้าใกล้องค์พระเป็นเขตห้ามเข้าเด็ดขาด เมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏว่าพระพระพุทธรูปแกะสลักลายเส้นมีความสูงมากถึง 109 เมตร หน้าตักกว้าง 70 เมตร มีฐานบัวสูง 21 เมตร รวมความสูงจากฐานของพระพระพุทธรูปแกะสลักลายเส้นแล้วก็มีความสูงทั้งหมด 130 เมตร ลักษณะของลายเส้นที่แกะสลักหินนั้น จะเป็นการแกะสลักลงในเนื้อหินให้เป็นร่อง ลึกกว้างประมาณ 30-40 เซนติเมตร ลึก 10 เซนติเมตร ฝังด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองเต็มร่อง มีชื่อพระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา แปลว่า พระพุทธเจ้า ทรงเป็นศาสดาที่รุ่งเรือง สว่าง ประเสริฐดุจดังมหาวชิระ ซึ่ง เป็นชื่อพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยปีที่ทำการสร้าง คือ พ.ศ. 2539 ปรากฏอยู่ด้านล่างของพระพระพุทธรูป นับว่าเป็นพระพุทธรูปแกะสลักในลักษณะพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมีลักษณะการก่อสร้างที่แปลกใหม่ และยังงดงามทรงคุณค่า น่าศรัทธา พุทธศาสนิกชนก็สามารถมาไหว้ขอพร ทำกิจกรรมทางพระพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมได้ สามารถเดินเที่ยวชม ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย นอกจากพระพุทธรูปแกะสลักลายเส้นแล้ว บริเวณโดยรอบของเขาชีจรรย์ยังสวยงามน่าเที่ยวชม มีต้นไม้ น้อยใหญ่มากมาย พร้อมด้วยสวนสวย ตกแต่งไปด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันตามฤดูกาล มีการนำไม้ประดับจากต่างถิ่นเข้ามาใช้ประดับตกแต่งภูมิทัศน์ มีสนามหญ้าเปิดโล่ง แบ่งพื้นที่ตามกิจกรรมการใช้งานอย่างชัดเจน เช่น ลานสำหรับชมพระพุทธรูปแกะสลัก จุดถ่ายรูปที่สามารถมองเห็นพระพุทธรูปได้อย่างชัดเจน อาคาร อเนกประสงค์ พื้นที่พักผ่อน และพื้นที่จอดรถ ซึ่งเหมาะสำหรับการมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ถ้ามาช่วงเย็น ๆ จะสามารถเดินเที่ยวได้อย่างสบายใจ ลมเย็น ๆ แถมได้ถ่ายรูปแสงพระอาทิตย์กำลังตกยิ่งสวยงาม จนกลายเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญอีกที่นึงในตำบลนาจอมเทียน
ผู้ให้ข้อมูล : นายวีรากร มณ์ทรัพย์สุคนธ์/นางสาวสุรภา เชาวันดีผู้เรียบเรียง : นายทัพพเทพ อรเนตร
เขาชีจรรย์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดชลบุรีมายาวนานมากกว่า 20 ปี โดยตั้งอยู่ที่ตำบล นาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ติดกับทางหลวงชนบท ชบ. 1003 ใกล้กับไร่องุ่นซิลเวอร์เลค พัทยา สวนน้ำรามายณะ พัทยา บ้านกลับหัว พัทยา และวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร บริเวณด้านข้างเขาชีจรรย์ได้ปรับปรุงพื้นที่ให้กลายเป็นทุ่งดอกทานตะวันไว้ให้ไปถ่ายรูปอีกด้วย คนสัตหีบจึงไม่จำเป็นจะต้องไปไกลถึงลพบุรีแล้ว เมื่อมาเที่ยวแล้วก็สามารถเที่ยวได้อีกหลายที่เพราะเป็นบริเวณที่ใกล้ ๆ กันใช้เวลาเที่ยว 1 วันก็เที่ยวได้ครบทุกที่ เขาชีจรรย์เป็นภูเขาหินปูนรูปทรงสวยแปลกตา ถ้ามองจากระยะไกลจะเห็นว่าเขาชีจรรย์มีลักษณะเป็นภูเขาสูงโดดเด่น รูปร่างสวยแปลกตา คล้ายกรวย คว่ำทรงยอดแหลม ด้านหนึ่งจะเป็นหน้าผาตัดสูงชัน เนื่องจากเคยมีการระเบิดหินเพื่อใช้เป็นวัสดุก่อสร้างมาก่อน จึงเปิดให้เห็นเนื้อหิน เป็นหน้าผาค่อนข้างเรียบจนถึงยอดเขา จากฐานจนถึงยอดเขาสูงประมาณ 180 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเลราว ๆ 248 เมตร สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในหลวง ร.9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ซึ่งพระพุทธรูปจะแกะสลักด้วยแสงเลเซอร์ใหญ่สุดในโลก ความโดดเด่นและเอกลักษณ์ของเขาชีจรรย์อยู่ตรงที่พระพุทธรูปแกะสลักแบบลายเส้น รูปประทับนั่ง ปางมารวิชัย ซึ่งได้แรงบัลดาลใจมาจาก "พระพุทธนวราชบพิตร" ศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา พระพุทธรูปแกะสลักแบบลายเส้นนี้ ก่อนการดำเนินการก่อสร้างนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวินิฉัยฯ สรุปไว้ว่าควรจัดสร้างเป็นแบบลายเส้น แต่ให้ลึกและชัดขึ้นเห็นเป็นรูปพระพุทธรูปในระยะไกล และด้วยเขาชีจรรย์เป็นเขาหินปูน จึงต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัย โดยกันพื้นที่ด้านหน้าใกล้องค์พระเป็นเขตห้ามเข้าเด็ดขาด เมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏว่าพระพระพุทธรูปแกะสลักลายเส้นมีความสูงมากถึง 109 เมตร หน้าตักกว้าง 70 เมตร มีฐานบัวสูง 21 เมตร รวมความสูงจากฐานของพระพระพุทธรูปแกะสลักลายเส้นแล้วก็มีความสูงทั้งหมด 130 เมตร ลักษณะของลายเส้นที่แกะสลักหินนั้น จะเป็นการแกะสลักลงในเนื้อหินให้เป็นร่อง ลึกกว้างประมาณ 30-40 เซนติเมตร ลึก 10 เซนติเมตร ฝังด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองเต็มร่อง มีชื่อพระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา แปลว่า พระพุทธเจ้า ทรงเป็นศาสดาที่รุ่งเรือง สว่าง ประเสริฐดุจดังมหาวชิระ ซึ่ง เป็นชื่อพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยปีที่ทำการสร้าง คือ พ.ศ. 2539 ปรากฏอยู่ด้านล่างของพระพระพุทธรูป นับว่าเป็นพระพุทธรูปแกะสลักในลักษณะพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมีลักษณะการก่อสร้างที่แปลกใหม่ และยังงดงามทรงคุณค่า น่าศรัทธา พุทธศาสนิกชนก็สามารถมาไหว้ขอพร ทำกิจกรรมทางพระพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมได้ สามารถเดินเที่ยวชม ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย นอกจากพระพุทธรูปแกะสลักลายเส้นแล้ว บริเวณโดยรอบของเขาชีจรรย์ยังสวยงามน่าเที่ยวชม มีต้นไม้ น้อยใหญ่มากมาย พร้อมด้วยสวนสวย ตกแต่งไปด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันตามฤดูกาล มีการนำไม้ประดับจากต่างถิ่นเข้ามาใช้ประดับตกแต่งภูมิทัศน์ มีสนามหญ้าเปิดโล่ง แบ่งพื้นที่ตามกิจกรรมการใช้งานอย่างชัดเจน เช่น ลานสำหรับชมพระพุทธรูปแกะสลัก จุดถ่ายรูปที่สามารถมองเห็นพระพุทธรูปได้อย่างชัดเจน อาคาร อเนกประสงค์ พื้นที่พักผ่อน และพื้นที่จอดรถ ซึ่งเหมาะสำหรับการมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ถ้ามาช่วงเย็น ๆ จะสามารถเดินเที่ยวได้อย่างสบายใจ ลมเย็น ๆ แถมได้ถ่ายรูปแสงพระอาทิตย์กำลังตกยิ่งสวยงาม จนกลายเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญอีกที่นึงในตำบลนาจอมเทียน
วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ
วัดโสธรวรารามวรวิหาร
วัดโสธรวรารามวรวิหาร
แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ฉะเชิงเทรา
วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมชื่อว่า “วัดหงษ์” สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของฉะเชิงเทรา ตามตำนานเล่าว่า หลวงพ่อพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิหน้าตักกว้างศอกเศษ มีรูปทรงสวยงามมาก ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แต่พระสงฆ์ในวัดเกรงจะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกเสริมหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบันแต่เดิม หลวงพ่อพุทธโสธรประทับอยู่ในโบสถ์หลังเก่าที่มีขนาดเล็ก รวมกับพระพุทธรูปอื่น 18 องค์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2509 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้และมีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิม จึงทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานการสร้าง และทรงเป็นผู้กำกับดูแลงานสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อ พ.ศ. 2531 และทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ หนัก 77 กิโลกรัม ประดิษฐานเหนือยอดมณฑป เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 ศิลปะภายในพระอุโบสถหลวงพ่อพุทธโสธร ประกอบด้วย ภาพจิตรกรรมฝาผนัง โดยรอบนับตั้งแต่พื้นพระอุโบสถ เสา ผนัง และเพดาน จะบรรจุเรื่องราวให้เป็นแดนแห่งทิพย์ เป็นเรื่องราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก ดวงดาว และจักรวาล รอบนอกภายในกำแพงประดิษฐานด้วยพระพุทธรูปปางสมาธิไว้ให้ประชาชนได้กราบไหว้ทำบุญตามวันเกิด รวมถึงมีสถานที่ไว้ให้ประชาชนได้ทำการสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เติมน้ำมันตะเกียง ถวายสังฆทานวัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นวัดที่มีผู้คนมาขอพรกันเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะมีผู้คนแวะเวียนกันมาขอพรหนาแน่นตลอดทั้งวัน หากใครประสบผลสำเร็จในคำขอพร คำบนบาน ก็มักจะมาแก้บนกันด้วยไข่ต้มหรือละครรำ แต่ไข่ต้มนั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก บริเวณรอบพระอุโบสถ เต็มไปด้วยที่พักผ่อน มีท่าน้ำและศาลาริมน้ำไว้ให้ประชาชนที่มาไหว้สักการะหลวงพ่อพุทธโสธรได้พักผ่อนหย่อนใจ มีที่จอดรถบริเวณด้านหลังวัด โดยมีพื้นที่จอดกว้างขวาง สามารถรองรับผู้คนได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้มีการจัดบริเวณให้ชุมชนได้มาค้าขายสินค้าของชุมชนอย่างหลากหลาย ก่อให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในชุมชน อีกด้วย
วัดเขาแก้ว (ถ้ำแก้วสวรรค์)
ตำแหน่งที่ตั้ง : บ้านคลองบอน หมู่ที่ 4 ตำบลหนองตาคง อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
การเดินทาง : ใช้ถนนจันทบุรี - สระแก้ว มุ่งหน้าสู่อำเภอสอยดาว แยกไฟแดงบ้านดงจิก-บ้านแหลม ให้เลี้ยวขวามุ่งหน้าไปตลาดบ้านแหลม ประมาณ 27 กิโลเมตร ผ่าน สภ.บ้านแปลง ให้เลี้ยวซ้ายแยกบ้านแหลมใหม่-สวนส้ม ขับต่อไปประมาณ 8 กิโลเมตร จะพบทางเข้าวัดถ้ำเขาแก้วตั้งอยู่ด้านซ้ายมือ